คอลัมน์หมายเลข 7 : ทุจริตถุงมือยาง พ่นพิษ ไล่ออก 3 อดีตผู้บริหาร อคส.
ข่าวภาคค่ำ - คอลัมน์หมายเลข 7 วันนี้ พาท่านผู้ชมไปตรวจสอบความคืบหน้าในการเอาผิดกรณีทุจริตถุงมือยางขององค์การคลังสินค้า ทำรัฐเสียหาย 2,000 ล้านบาท รายละเอียดเป็นอย่างไร ติดตามกับคุณสมจิตต์ นวเครือสุนทร
ผ่านมากว่า 1 ปี คดีทุจริตจัดซื้อถุงมือยางขององค์การคลังสินค้า หรือ อคส. 500 ล้านกล่อง มูลค่า 112,500 ล้านบาท ที่ส่อเค้าว่ามีการทุจริตอย่างเป็นขบวนการ ก็เริ่มมีความคืบหน้า โดยเฉพาะในส่วนการลงโทษทางวินัยร้ายแรงที่เพิ่งได้บทสรุปไล่ออกจากราชการผู้เกี่ยวข้องรวม 3 คน หนึ่งในนั้นคือ พันตำรวจโท รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ อดีตรักษาการผู้อำนวยการ อคส. ที่เป็นผู้ลงนามอนุมัติจัดซื้อถุงมือยางจากบริษัท การ์เดียนโกลฟส์ จำกัด รวมถึงเตรียมฟ้องแพ่งเรียกค่าเสียหายกว่า 2,000 ล้านบาทด้วย
หลังเกิดเหตุทุจริตถุงมือยาง อคส. ได้ปรับปรุงกฎระเบียบ เพื่อป้องกันการทุจริต มีการกำหนดหลักเกณฑ์ชัดเจน ให้ผู้อำนวยการ อคส. มีอำนาจในการอนุมัติวงเงินไม่เกิน 25 ล้านบาท เนื่องจากเรื่องนี้กลายเป็นประเด็นที่ถูกอดีตผู้บริหาร อคส. ที่ลงนามในสัญญาซื้อขายถุงมือยางเจ้าปัญหา อ้างว่าไม่ได้มีหลักเกณฑ์ห้ามไว้
ขณะที่การไต่สวนข้อเท็จจริงของ ป.ป.ช. ก็มีความคืบหน้าไปมาก หลังจากแจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหามารับทราบข้อกล่าวหาไปตั้งแต่ช่วงปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ล่าสุดเข้าสู่ขั้นตอนการสรุปสำนวนแล้ว โดยคาดว่าน่าจะถึงมือ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ ภายใน 2 เดือนนี้
สำหรับความผิดของผู้ถูกตั้งข้อกล่าวหาในส่วนของเจ้าหน้าที่ อคส. จะมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์กร หรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 11 พนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต มีโทษจำคุก 1-10 ปี หรือปรับ 2,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.2499 มาตรา 151 เป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ โทษจำคุก 5-20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับ 2,000-40,000 บาท รวมถึงมาตรา 157 เจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริต โทษจำคุก 1-10 ปี หรือปรับ 2,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ