ข่าวในหมวด ข่าว 7 สี

แม่เยาวชนถูกชนสาหัส ทำใจ หากคู่กรณียอมติดคุกแทนชดใช้ค่าเสียหาย

ข่าวสังคม 3 สิงหาคม 2565 - สนามข่าว 7 สี - เมื่อวานสนามข่าว 7 สี นำเสนอกรณีแม่ของเยาวชนที่ถูกรถชนสาหัส ลูกเกือบจะเป็นเจ้าชายนิทรา แต่โชคดีหายมาได้ จึงพากันไปร้องเรียนกับ ทนายเดชา เพราะคู่กรณีไม่ยอมจ่ายตามที่ขอไป อ้างว่าไม่มีเงิน หลายคนสงสัยว่าเรียกไปเท่าไรถึงไม่มีเงิน คุณแม่เรียกไป 7 แสนบาท หลายคนถามว่ามากเกินไปหรือเปล่า ทีมข่าวจึงขอพาไปดูชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัวนี้กัน

เมื่อสักครู่คือวิธีการที่ครอบครัวพาน้องไปโรงพยาบาล เพื่อล้างแผลและหาหมอ หลังออกจากโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม ซึ่งตอนแรกคุณแม่บอกว่าก็พาน้องขึ้นแท็กซี่ไป ระยะทางราว 5-6 กิโลเมตร แต่พอบ่อยเข้า ต้องไปล้างแผลทุกวัน ไปกลับต่อวันมันก็เริ่มไม่ไหว เพราะคุณพ่อขับวิน ส่วนคุณแม่เป็นแม่บ้านโรงแรม ช่วงที่น้องเข้าโรงพยาบาลทั้งพ่อและแม่ก็ต้องไปเฝ้า พอน้องหายออกมาก็ต้องมาดูแล คอยทำกายภาพให้น้อง ทำให้รายได้ทั้งของคุณพ่อและคุณแม่หายไป ซึ่งคุณแม่เองบอกว่าต้องตัดใจเอาเงินที่จะนั่งแท็กซี่ เพื่อไปโรงพยาบาลเอามาซื้อข้าวให้ลูกกินแทน

คุณแม่ ยังบอกด้วยว่า บ้านที่อยู่ทุกวันนี้ก็เช่าเขาเดือนละ 5,000 บาท และยังค้างค่าเช่าอยู่ แต่โชคดีเจ้าของบ้านรับรู้เรื่องราวจึงเมตตาให้ค้างค่าเช่าไปก่อน ส่วนรถจักรยานยนต์ที่ใช้พาน้องไปโรงพยาบาลก็ค้างค่างวดอยู่ 3 เดือนเช่นกัน โดยคุณแม่ต้องยืมญาติพี่น้องมาใช้ประทังชีวิตไปก่อน เรียกว่าก่อนลูกออกจากโรงพยาบาลก็เริ่มเป็นหนี้แล้ว รวม ๆ แล้วหลายหมื่น และไม่รู้ว่าจะมีคืนหรือไม่

เรามาดูว่าคุณแม่เรียกเงินคู่กรณีไปเท่าไร คุณแม่ บอกว่า คุณแม่เรียกไป 7 แสนบาท ตอนแรกเนี่ยพร้อมให้เจรจา แต่พอนิ่งเฉยมาก แม่ต้องโทรหาถึง 3 ครั้ง พอถามก็บอกว่าไม่มีเงินมากขนาดนั้น ต้องหาเช้ากินค่ำเหมือนกัน จนสุดท้ายคุณแม่ตัดสินใจมาร้องขอความเป็นธรรมกับ ทนายเดชา

คุณแม่พาทีมสนามข่าว 7 สี ไปดูตอนน้องกินข้าว เพื่อให้เห็นว่าสภาพน้องไม่เหมือนเดิม แม้แต่การจะกินข้าวน้องยังต้องค่อย ๆ กิน เพราะแขนสองข้างผิดรูป และตามร่างกายยังมีร่องรอยแผลเป็นจากการผ่าตัด แม้แต่เวลาเข้าห้องน้ำน้องก็ไม่สามารถถอดเสื้อเองได้ บาดแผลตรงศีรษะก็ยังมีรอยผ่าตัดเปิดกะโหลกให้เห็น

คุณแม่ ยอมรับว่าที่บ้านมีเครื่องปรับอากาศ เพราะต้องเอามาดูแลลูกชาย เพราะที่บ้านร้อน ถ้าเหงื่อออกก็จะทำให้แผลเน่าหรือติดเชื้อ จึงตัดสินใจผ่อนเครื่องปรับอากาศ โดยเพิ่งเอามาติดหลังจากลูกออกจากโรงพยาบาลไม่กี่วัน พอย้อนถามว่า 7 แสนบาท มันเยอะไปไหมคุณแม่ก็มองว่าไม่เยอะเกินไป เพราะลูกเพิ่งอายุ 17 ปี และยังต้องหาหมอ ทั้งหมอกระดูก หมอสมอง หมอศัลยกรรม ที่สำคัญไม่รู้จะกลับมาเหมือนเดิมได้ไหม

ช่วงหนึ่งผู้สื่อข่าวถามว่า คุณแม่เคยคิดจะถามกลับคู่กรณีบ้างไหมว่าหากคนที่ถูกชนเป็นลูกของเขาบ้าง เขาจะเรียกเท่าคุณแม่หรือน้อยกว่าคุณแม่ คุณแม่บอกไม่เคยคิดเรื่องนี้เพราะเห็นใจเขา เนื่องจากทราบว่าคู่กรณีก็มีลูกเหมือนกัน แต่หากคู่กรณียืนยันว่าไม่มีจ่าย เพราะไม่มีเงินจริง ๆ และยอมติดคุกแทน ตัวเองก็พร้อมทำใจ เพราะคงทำอะไรไม่ได้ แต่คุณแม่ก็แอบรู้สึกน้อยใจ เพราะไม่เช่นนั้นคนที่ไปขับรถชนคนอื่นสาหัสก็ยอมติดคุกเรื่องก็จบ แล้วคนที่เขาสูญเสียจะได้อะไรบ้าง

ส่วนทางด้านคดีคู่กรณีถูกดำเนินคดีฐาน ขับรถประมาทเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนทรัพย์สินผู้อื่นเสียหาย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งครอบครัวก็สงสัยว่าเหตุใดจึงไม่เข้าข่ายบาดเจ็บสาหัส แต่ก็คิดตำรวจคงจะแจ้งเพิ่มเติมภายหลัง ส่วนประเด็นที่ตำรวจติดโควิด-19 ทำให้ไม่สามารถเรียกน้อง หรือคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งเป็นคนที่เกี่ยวข้องในคดีไปสอบปากคำ ส่วนตัวยอมรับว่ารู้สึกว่าล่าช้าเกินไป

ขณะที่วันนี้ (3 ส.ค.) ช่วง 09.00 น. พนักงานสอบสวน สน.ท่าข้าม เรียกทั้งคู่กรณี และครอบครัวน้อง มาเจรจาเรื่องที่เกิดขึ้น หลังมีการนำเสนอข่าวไป โดยตำรวจจะเป็นตัวกลางในการให้ทั้งสองฝ่ายได้พูดคุยกัน

ส่วนคดีอาญา คาดว่าจะดำเนินการต่อหลังจากนี้ เพราะจะต้องให้สหวิชาชีพสอบปากคำเยาวชนก่อน ส่วนรายละเอียดทางคดีตำรวจสอบสวนไว้หมดแล้ว

ดูเพิ่มเติมแสดงน้อยลง Bookmark