ปลูกข้าวสีชมพู ต่อยอดรายได้ จ.พิษณุโลก
เช้านี้ที่หมอชิต - ปลูกข้าวนาปี ตอนนี้กิโลกรัมละ 10-12 บาท ไม่คุ้มทุน แต่ที่จังหวัดพิษณุโลก เขาเปลี่ยนแนวคิดปลูกพันธ์ุข้าวสีชมพู เพาะเมล็ดพันธุ์ขาย ได้ถึงกิโลกรัมละ 10,000 บาท สามารถนำไปปลูกต่อยอดเชิงท่องเที่ยวเพิ่มมูลค่าได้หลายแสนบาท
ไปที่บริเวณแปลงนาข้าวสีชมพู เครือข่ายศูนย์บ่มเพาะเกษตรกรรุ่นใหม่ หมู่ 1 ตำบลท่าโพธิ์ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก ตอนนี้จะเห็นนาข้าวเริ่มเปลี่ยนเป็นสีชมพูสวยงาม ของนายธนกฤต พรอัครกิจ อายุ 35 ปี ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนคนมีดี พิษณุโลก ผู้ปลูกต้นข้าวไรซ์เบอรี่ หรือพิงค์เลดี้ และกำลังเป็นกระแสในสื่อสังคมออนไลน์ ทั้งเฟซบุ๊ก ไลน์และติ๊กต๊อก เผยแพร่เรื่องราวการเพาะปลูกต้นข้าวสีชมพู รวมถึงการซื้อขายเมล็ดพันธุ์ข้าว ที่มีราคาสูง ถึงกิโลกรัมละ 10,000 บาท อยู่ในขณะนี้
นายธนกฤต บอกว่า การปลูกข้าวสีชมพู จะต้องดูแลมากเป็นพิเศษ เพราะข้าวสีชมพูเป็นกลุ่มของไม้ด่าง ต้นข้าวสวยแต่อ่อนแอ หากจะปลูกช่วงนี้ ไม่ควรปลูกทั้งหมด ขอให้แบ่งเมล็ดพันธ์ุครึ่งหนึ่งเก็บไว้ และศึกษาก่อนว่า มีความเหมาะสมกับสภาพอากาศในพื้นที่นั้น ๆ หรือไม่ เพราะเมื่อปลูกแล้วจะได้ผลผลิตไม่เหมือนกัน แต่การทดลองปลูกที่จังหวัดพิษณุโลก ได้ผลผลิตเป็นที่น่าพอใจ ที่ผ่านมาชาวนาส่วนใหญ่ปลูกข้าวเพื่อบริโภคเท่านั้น ขายข้าวไม่ได้ราคาต่ำ ทำให้เกิดภาวะขาดทุน จึงมีแนวคิดอยากให้เกษตรกรคนรุ่นใหม่ หรือชาวนา เปลี่ยนแนวความคิด ปลูกข้าวแต่ไม่ต้องกินข้าว แต่ให้นำเอาข้าวสีชมพูเหล่านี้ไปต่อยอดเพิ่มมูลค่าสร้างรายได้ ที่สูงขึ้นมากกว่าการขายข้าวเพื่อบริโภค ซึ่งก็มีผู้สนใจเข้ามาศึกษา นำเมล็ดพันธ์ุข้าวสีชมพูไปเพาะปลูกเพิ่มมากขึ้น
พร้อมยังบอกอีกว่า กลางเดือนนี้จะย้ายต้นกล้ามาลงแปลงใหญ่ เพื่อให้ต้นข้าวเจริญเติบโตและเริ่มออกรวง มองเห็นเป็นทุ่งนาข้าวสีชมพูอย่างสวยงาม ซึ่งอยู่ในช่วงสภาพอากาศหนาวเย็นพอดี ก่อนจะเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เที่ยวชมและถ่ายภาพ ส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดพิษณุโลก ด้วย
ฝัดข้าวแบบโบราณ จ.สุรินทร์
ส่วนที่บริเวณสระน้ำสาธารณประโยชน์บ้านขอนแก่น ตำบลหนองฮะ อำเภอสำโรงทาบ จังหวัดสุรินทร์ ได้จัดกิจกรรม ลงแขกเกี่ยวข้าว จากนั้นก็ได้นำข้าวมาทุบในลานตีข้าว โดยในระหว่างการตีข้าวก็จะลงมือตีพร้อมกัน ประกอบกับการใช้เสียงเพลงเป็นจังหวะ สร้างความสนุกสนาน เพื่อสืบทอดวิถีทำนาแบบโบราณให้คงอยู่สืบไป
นายศักรินทร์ ทุมเสน ปลัดจังหวัดสุรินทร์ กล่าวว่า ถือว่าเป็นกิจกรรมที่มีความสมัครสมานสามัคคีของคนในหมู่บ้าน เพื่อจะส่งต่อไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ จะหันไปหาแต่สิ่งแปลก ๆ จนลืมกลิ่นอายข้าว จากท้องไร่ท้องนาบ้านเรา