ข่าวในหมวด ประเด็นร้อนออนไลน์

สัตวแพทย์ เผยภาพเบื้องหลัง ภารกิจสุดทรหด พา "พลายศักดิ์สุรินทร์" ขึ้นเครื่องกลับไทย


สัตวแพทย์ เผยภาพเบื้องหลัง ภารกิจสุดทรหด พา "พลายศักดิ์สุรินทร์" ขึ้นเครื่องกลับไทย

หลังคณะทำงานของไทยสามารถพา "พลายศักดิ์สุรินทร์" ช้างไทยที่ถูกส่งตัวไปยังประเทศศรีลังกา เมื่อปี 2544 ในฐานะทูตสันถวไมตรี กลับคืนบ้านเกิด ประเทศไทย ได้สำเร็จ เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 2 ก.ค.66 นำมายังความปลาบปลื้มใจแก่ประชาชนคนไทย ที่ได้สัตว์คู่บ้านคู่เมือง คืนสู่แผ่นดิน ตามที่ได้นำเสนอไปแล้วนั้น

เกี่ยวกับภารกิจนี้ มีเบื้องหลังที่หลายฝ่าย ต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจ เพื่อให้การนำ "พลายศักดิ์สุรินทร์" กลับบ้าน เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ถึงประเทศไทยอย่างปลอดภัย เช่นทางด้าน กำลังใจสำคัญอย่าง ทีมสัตวแพทย์ และ ควาญช้าง

โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 3 ก.ค.66  นายสัตวแพทย์สิทธิเดช มหาสาวังกุล ที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสัตวแพทย์ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) ได้โพสต์ภาพผ่านเฟซบุ๊ก "สิทธิเดช มหาสาวังกุล" เผยภาพเบื้องหลังสุดทรหด ภารกิจขนย้ายพา "พลายศักดิ์สุรินทร์" คืนสู่มาตุภูมิ โดยระบุว่า "ต้องทำ Mission Impossible ให้เป็น Possible เป็นงานที่ท้าทายมาก"

Mission complete ควาญช้างไทยเก่งมาก มีเวลารู้จักกับช้างและฝึกหัดช้างเข้าคอกเพียง 10 กว่าวันเท่านั้น ต้องทำ mission impossible  ให้เป็น possible เป็นงานที่ท้าทายมาก เลยอยากเอาภาพ Behind the scenes บนเครื่องมาให้ดู สนุกๆ กัน

คณะเริ่มรวมพลกันตั้งแต่ 4 ทุ่ม (เวลาศรีลังกา)ตั้งแต่คืนวันที่ 1 ก.ค. เอาช้างเดินเข้ากรงที่วางบนรถเทรเลอร์ กว่าจะออกจากสวนสัตว์ Dehewalawa ได้ ก็เที่ยงคืนกว่า ใช้เวลาวิ่ง 2 ช.ม.กว่า ถึง Cargo village ใกล้สนามบินโคลัมโบ เพื่อเปลี่ยนถ่ายกรงช้างมาบนรถเทรเลอร์คันใหญ่ 

จากนั้นเทรเลอร์ใหญ่ขับมาเทียบกับท้ายเครื่องบิน อิลยูซิน IL76 เพื่อโหลดขึ้นเครื่อง ซึ่งไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะเป็นกรงช้างขนาดใหญ่ ใช้เวลากว่า 2 ช.ม. กว่าจะโหลดได้สำเร็จ ในเวลาตี 5 ครึ่ง (เวลาศรีลังกา) วันที่ 2 ก.ค.


อุณหภูมิบนเครื่องบินร้อนมาก เหงื่อแตกพลักๆ เพราะไม่มีเครื่องปรับอากาศ ทีแรกก็คิดว่าเดี๋ยวเครื่องบินติดเครื่อง คงจะเย็นขึ้นแต่ไม่ใช่ ได้เวลา take off 7.00 น. เครื่องบินติดเครื่องดังกระหึ่มเสียงดังมาก และวิ่ง take off ด้วยความรวดเร็ว เครื่องสั่นโคลงและเสียงดังมาก จนช้างแสดงอาการตื่นตกใจ กลัว แต่ควาญและสัตวแพทย์ก็ช่วยควบคุมสถานการณ์ไว้ได้     


บรรยากาศ บนเครื่องก็แบบ ชิล ๆ ใครอยากนั่งอยากนอนตรงไหนก็ตามสบาย ไม่ต้องคาด safety belt ตอน take off  และ landing มีลูกเรือประมาณ 7 คน นักบิน 2 คน ส่วนใหญ่พูดรัสซีย มีพูดภาษาอังกฤษได้สัก 2 คน คือนักบินคนนึง ทั้งนักบินและลูกเรือทีแรกก็แต่งชุด Uniform เรียบร้อย พอสักพักก็ถอดเสื้อใส่เสื้อยืดสบายๆ แวะเวียนกันมาดูช้างถ่ายรูปช้างกันเป็นประจำ

ตัวนักบินเอง ก็เดินมาดูช้างบ่อยๆ จะกลับมาใส่ Uniform อีกครั้งตอน Landing การพูดคุยบนเครื่อง ไม่ค่อยได้ยินเพราะเสียงดังมาก ต้องพูดกันข้างหู บนเครื่องมีอาหารเสริฟเป็นเซ็ท ง่ายๆ ไม่หรูหรามาก เป็นพวกขนมปัง ผลไม้ ชา กาแฟ  ส่วนของพวกเราได้ ข้าวเหนียว ไก่ทอดแพ็คใส่กล่องให้จากสถานทูต พวกเราไม่ได้นอนกันทั้งคืนเลย พอเครื่องบิน stable บนอากาศ แล้ว ช้าง OK แล้ว ก็เลยพลอยหลับกันไปเพราะหมดแรง จริงๆ  ผมเองก็เผลอหลับตอนเห็นคนอื่นตื่นอยู่ 

 

งานหนักอีกอันหนึ่งที่อยู่บนเครื่องคือ ต้องคอยรองฉี่ช้าง ทีออกมาจากท้ายกรง เพื่อไม่ให้น้ำฉี่ปริมาณมากตกลงบนพื้นท้องเครื่องบิน เพราะจะทำให้เกิดระบบไฟฟ้าช็อตได้  โดยก่อนวางกรงจะมีผ้ายางกันน้ำปูรองด้านล่างอีกครั้ง  เราใช้ฟองน้ำแผ่นใหญ่ที่เตรียมกันมาหลายแผ่น  ตัดออกเป็นแผ่นเล็กๆ คอยซับฉี่ และคอยบีบฉี่ใส่ถุงดำที่เตรียมไว้อย่างมากมาย ช้างฉี่ถึง สามครั้งบนเครื่อง  ฉี่ครั้งนึงก็ปริมาณ เกือบ 20 - 30 ลิตรได้ 

ฟองน้ำที่เตรียมไปอย่างเหลือเฟือ เหล่าลูกเรือก็เอาไปปูนอนบนเครื่องสบายๆ  ขออภัยที่แอบถ่ายทุกท่านตอนนอนหลับ 555 มิได้มีเจตนาอย่างอื่นเลย อยากให้เห็นหลังฉากการทำงานบนเครื่องเท่านั้นครับ




 

BUGABOONEWS
ขอบคุณข้อมูล/ภาพจาก FB : สิทธิเดช มหาสาวังกุล

ดูเพิ่มเติมแสดงน้อยลง Bookmark