ข่าวในหมวด ข่าว 7 สี

ข่าวใหญ่ พ่อโหด เริ่มเปิดปากยอมรับฆ่าลูก 3 คน

ห้องข่าวภาคเที่ยง - ข่าวใหญ่วันนี้เรายังคงเกาะติดอยู่กับคดีฆ่าโหดลูก 5 คน ที่ตำรวจไปพบศพเด็กอายุ 2 ขวบ ถูกฝังดินในจังหวัดกำแพงเพชร ซึ่งเมื่อเช้าในรายการสนามข่าว เราคลี่ปมดูสายสัมพันธ์ของผู้ต้องหากับภรรยาไปแล้ว แต่เหมือนจะยังไม่เคลียร์ ไหนจะปมเรื่องการใช้ความรุนแรงอีก อะไรที่เป็นต้นตอของเรื่องนี้กันแน่ เราจะมาหาคำตอบไปพร้อม ๆ กัน

เริ่มจากเรื่องสายสัมพันธ์ของพ่อโหดกับภรรยากันก่อน เรื่องนี้สรุปง่าย ๆ ผู้ต้องหามีภรรยาทั้งหมด 4 คน มีลูกด้วยกันรวมทั้งหมด 10 คน อายุระหว่าง 6 เดือน - 22 ปี

หากเรียงตามลำดับเวลา ภรรยาคนแรก เป็นชาวจังหวัดตรัง มีลูกด้วยกันกับผู้ต้องหา 1 คน ตอนนี้ลูกอายุ 22 ปี ปัจจุบันอดีตภรรยากับลูกใช้ชีวิตอยู่ที่จังหวัดกำแพงเพชร ปลอดภัยดี ตำรวจได้เชิญมาให้การในฐานะพยาน

ภรรยาคนที่ 2 เป็นคนจังหวัดชุมพร มีลูกกับผู้ต้องหารวม 5 คน ลูกสาวคนโต อายุ 12 ขวบ ส่วนลูกชายที่เหลืออีก 4 คน เสียชีวิตตอนอายุ 1 เดือน, 3 เดือน, 6 เดือน และ 10 เดือน

ภรรยาคนที่ 3 เป็นคนจังหวัดตรัง มีลูก 1 คน อายุ 10 ขวบ ตำรวจเชิญมาให้การในฐานะพยานแล้วเช่นกัน

และภรรยาคนที่ 4 เป็นคนจังหวัดกำแพงเพชร มีลูกด้วยกัน 3 คน พี่สาวคนโต อายุ 3 ขวบ คนรองที่เสียชีวิตอายุ 2 ขวบ และลูกชายคนเล็ก อายุ 7 เดือน

นี่คือข้อมูลการเรียงตามลำดับเวลาความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว

แต่หากเรียงตามลำดับสำนวนคดี ตำรวจจะเรียงอีกแบบ จะนับภรรยาคนแรก คือ คนที่อยู่จังหวัดตรัง ที่มีลูกอายุ 22 ปี ภรรยาคนที่ 2 เป็นคนจังหวัดตรังอีกคน ที่มีลูกอายุ 10 ขวบ ส่วนภรรยาคนที่ 3 คนจังหวัดชุมพร มีลูกด้วยกัน 5 คน เสียชีวิต 4 คน และภรรยาคนที่ 4 คนจังหวัดกำแพงเพชร มีลูกด้วยกัน 3 คน เสียชีวิต 1 คน อันนี้คือการลำดับตามการทำสำนวนคดี

แล้วอะไรบ้างคือปมการใช้ความรุนแรงของตัวพ่อโหดคนนี้ ต้องแกะร่องรอยแบบนี้ เมื่อวานนี้ที่ตำรวจไปค้นอะพาร์ตเมนต์ในซอยพหลโยธิน 48 แล้วไปเจอจดหมายที่คาดว่าภรรยาเป็นคนเขียนไว้ เนื้อหาในจดหมายบางช่วงบางตอนเขียนไว้ว่า "เขาทำกับเราได้ยังไง ทำไมเขาทำกับเราขนาดนี้ เราเกือบตาย มือชาขาชา เขาไม่รักเราเลยเหรอ"

นอกจากนี้ยังพบมีด 3 เล่ม หนึ่งในนั้นมีร่องรอยการถูกลนไฟ ซึ่งย้อนกลับไปตอนช่วยเหลือเด็กหญิงอายุ 12 ขวบ ก็มีร่องรอยที่ถูกไฟลนจากแผ่นหลัง ซึ่งเป็นร่องรอยที่เด็กไม่สามารถทำร้ายตัวเองได้

ต่อมาเป็นข้อมูลตามคำให้การรับสารภาพ ล่าสุด ที่ตำรวจได้จากการเค้นสอบ 1 วัน กับ 1 คืน ผู้ต้องหายอมรับว่าที่ผ่านมาได้ทำร้ายภรรยา และลูกสาว อายุ 12 ปี เป็นประจำ ด้วยการตี จับกดน้ำ ใช้มีดหรือไขควงลนไฟ แล้วจี้ตามร่างกาย สาเหตุมาจากความหึงหวงที่ภรรยาไม่ยอมทำตามที่สั่ง แล้วอ้างกับภรรยาว่า "ทนเสียงร้องเด็กไม่ได้" ตัดพ้อว่า ตัวเองตกงาน มีประวัติป่วยอาการทางจิตเวช ไม่มีเงินซื้อนม ซื้ออาหารให้ลูก

ส่วนภรรยาที่ยังอยู่กับผู้ต้องหาเพราะเป็นรักแรก จำใจทนอยู่ถึงปัจจุบัน ส่วนที่ผู้ต้องหาไปมีภรรยาอีกก็อ้างว่าเพราะภรรยาคนนี้ไปทำหมันแล้วไม่มีอารมณ์ทางเพศ

นอกจากนี้ยังยอมรับว่า ตนเองได้ลงมือฆ่าลูก 3 คนจริง ส่วนอีก 2 คน อ้างว่ามีอาการป่วยแล้วเสียชีวิต จึงให้ภรรยานำศพลูกใส่ถุงไปทิ้งที่ย่านสายไหม ซึ่งจริง ๆ ต้องบอกว่าทีมข่าวเราได้รายละเอียดพฤติการณ์ลงมือกับลูกทั้ง 5 คนมาแล้วว่าใครถูกกระทำอย่างไรบ้าง แต่ขออนุญาตไม่เปิดเผย เพราะเป็นพฤติกรรมแต่ละอย่างที่ทราบ สุดสะเทือนใจจริง ๆ

ทีนี้พอผู้ต้องหาให้การมาแบบนี้ เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ตำรวจ สน.บางเขน จึงได้นำตัวผู้ต้องหาไปตรวจสุขภาพจิตที่โรงพยาบาลตามประวัติที่พบว่าเคยรักษาอาการทางจิต เมื่อปี 2556 อายุ 36 ปี และปี 2558 เพื่อยืนยันอาการป่วยทางจิตเวช ซึ่งระหว่างการพาตัวไปขึ้นรถ ผู้สื่อข่าวก็พยายามเข้าไปซักถามถึงมูลเหตุในการลงมือ ซึ่งก็เหมือนเดิม ส่วนใหญ่ผู้ต้องหาแทบไม่ตอบอะไร มีเพียงตอบปฏิเสธมา 1 คำว่า ไม่ใช่ กับคำถามที่ถูกถามว่าเป็นคนนำศพเด็กทั้งหมดไปทิ้งในจุดต่าง ๆ คนเดียวใช่หรือไม่

พันตำรวจเอก อนันต์ วรสาตร์ ผู้กำกับ สน.บางเขน ระบุว่า หลังตรวจอาการทางจิตเสร็จแล้วจะนำตัวผู้ต้องหาไปฝากขังที่ศาลอาญารัชดาฯ ในฐานความผิดร่วมกันฆ่าผู้อื่น, ทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และซ่อนเร้นทำลายศพ

โดยยืนยันยังไม่ได้แจ้งข้อหากับภรรยาชาวจังหวัดชุมพร เพราะอยู่ระหว่างการเชื่อมโยงความผิด เนื่องจากเจ้าตัวอ้างว่าถูกสามีทำร้ายร่างกาย ข่มขู่ บังคับให้นำศพไปทิ้ง และจากการตรวจร่างกายก็พบมีบาดแผลปรากฎอยู่จริง จึงยังไม่มีการดำเนินคดีแจ้งข้อกล่าวหา และหากเจ้าตัวประสงค์จะดำเนินคดีกับผู้ต้องหาเรื่องที่ถูกทำร้ายร่างกาย ตำรวจก็พร้อมดำเนินคดีให้

ด้าน พลตำรวจตรี นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ยืนยัน ระหว่างการสอบปากคำ ตำรวจได้สังเกตพฤติกรรมของผู้ต้องหา ว่าระหว่างการสอบปากคำเห็นผู้ต้องหามีอาการเครียด และร้องไห้ตลอดเวลา พบว่ามีสติสัมปชัญญะ สำนึกผิดครบถ้วน จึงไม่กังวลเรื่องที่อ้างอาการป่วยทางจิตเวช

จากข้อมูลและคำบอกเล่าของตำรวจ ตอนนี้ชี้ให้เห็นว่าผู้ต้องหามีพฤติกรรมใช้ความรุนแรงกับคนในครอบครัวมาตลอดตั้งแต่แรก โดยเฉพาะกับภรรยาและครอบครัว เมื่อนำพฤติกรรมนี้มาวิเคราะห์ รองศาสตราจารย์ พันตำรวจโท กฤษณพงค์ พูตระกูล ผู้ช่วยอธิการบดี และประธานกรรมการคณะอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม มหาวิทยาลัยรังสิต ให้ความมุมมองว่า พฤติกรรมแบบนี้ส่อให้เห็นถึงสภาพจิตใจของผู้ต้องหา ที่ชอบเห็นคนอื่นทุกข์ แต่ตนเองสุขใจ หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่า เป็นคนที่มีพฤติกรรมซาดิสม์ เรื่องนี้เกิดขึ้นได้จากปัญหาในจิตใจ สภาพการเติบโตในวัยเด็ก ส่วนเรื่องที่อ้างว่ามีความเครียดและตกงาน เป็นเพียงองค์ประกอบย่อย ต้องย้อนไปดูว่าในอดีตผู้ต้องหาเคยถูกกระทำแบบนี้มาก่อนหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้นักจิตแพทย์สามารถช่วยตรวจสอบยืนยันได้

แล้วเรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินคดีหรือไม่ แพทย์หญิง อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต อธิบายข้อกฎหมายเกี่ยวกับการดำเนินคดีคนที่อ้างว่ามีอาการป่วยทางจิตเวชไว้แบบนี้

ประมวลกฎหมายพิจารณาความอาญามาตรา 14 ก็มีหลักในการพิจารณาว่า ระหว่างสอบสวน ไต่สวนมูลฟ้อง หรือ พิจารณา ให้พนักงานสอบสวน หรือ ศาลสั่งให้แพทย์ตรวจแล้วแจ้งผล หากผู้ต้องหา หรือ จำเลย เป็นผู้วิกลจริต ไม่สามารถต่อสู้คดีได้จริง ให้งดการสอบสวน ไต่สวนมูลฟ้อง หรือ พิจารณาไว้ และนำตัวไปรักษา จนกว่าผู้นั้นจะหายวิกลจริต ซึ่งศาลจะสั่งจำหน่ายคดีเสียชั่วคราวก็ได้

ส่วนมาตรา 65 ผู้ใดกระทำความผิดขณะไม่สามารถรู้ผิดชอบ หรือ บังคับตนเองไม่ได้ เพราะมีจิตบกพร่อง (โรคจิต) หรือ จิตฟั่นเฟือน ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษสำหรับความผิดนั้น แต่ถ้าผู้กระทำความผิดยังรู้ผิดชอบอยู่บ้าง หรือ บังคับตนเองได้บ้าง ผู้นั้นต้องรับโทษ แต่ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดก็ได้

สำหรับการดำเนินคดีวันนี้ยังไม่เสร็จสิ้น ตำรวจกองพิสูจน์หลักฐาน จะเข้าตรวจค้นห้องพักที่ผู้ต้องหาและภรรยาเคยเช่าอาศัยอยู่ด้วยกันในอดีต เพื่อหาพยานหลักฐานประกอบการดำเนินคดี คาดว่าต้องใช้เวลาพอสมควร เนื่องจากปัจจุบันมีผู้เข้าพักอาศัยคนใหม่ เข้าไปพักแล้ว ต้องรอการขออนุญาต หรือใช้หมายค้น เพื่อเข้ารวบรวมพยานหลักฐาน ก่อนจะนำหลักฐานทั้งหมดมาใช้ประกอบการดำเนินคดีต่อไป

ด้าน นางสาวจิตติมา ภาณุเตชะ นักวิชาการด้านแผนงานสุขภาวะผู้หญิงและความเป็นธรรมทางเพศ วิเคราะห์พฤติกรรมสุดโหด เปรียบเสมือนภัยเงียบใต้หลังคาบ้าน ซึ่งหมายถึงการที่คนในครอบครัวยอมให้มีการใช้อำนาจ ออกคำสั่ง และใช้กำลังบังคับข่มขู่กันภายในบ้านตั้งแต่แรก ทำให้ผู้ใช้อำนาจรู้สึกเคยชิน มองว่าการใช้ความรุนแรงเป็นการจบปัญหา จนนำมาสู่การทะเลาะวิวาท ทำร้ายร่างกาย รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต

สิ่งที่น่ากังวลคือสังคมไทยปล่อยให้ความรุนแรงเกิดขึ้น โดยมองว่าปัญหาในครอบครัวเป็นเรื่องปกติ เพื่อนบ้านเมินเฉย ไม่เข้าไปให้ความช่วยเหลือ

ส่วนจะเป็นพฤติกรรมเสพติดความรุนแรงหรือไม่ ยังต้องศึกษาสภาวะจิตใจของผู้กระทำผิดอย่างละเอียดโดยจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพราะการเสพติดความรุนแรง ผู้กระทำผิดจะมีพฤติกรรมก้าวร้าว ใช้ความรุนแรงแก้ปัญหาในทุกสถานการณ์ที่ทำได้ ทำร้ายร่างกายตนเอง และเรียนรู้ความรุนแรงเรื่อยมา มาจากการเลียนแบบคนในครอบครัว

ดูเพิ่มเติมแสดงน้อยลง Bookmark