หมอเจดเผยสาเหตุ โรคอึเต็มท้อง ปล่อยไว้นาน อันตราย

หมอเจด เผยสาเหตุ โรคอึเต็มท้อง ปล่อยไว้นาน อันตราย กลายเป็นปัญหารบกวนชีวิตประจำวัน เช็กสังเกตุอาการต่อไปนี้ ควรรีบไปพบแพทย์
นพ.เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ได้ออกมาโพสต์เรื่อง อาการท้องผูก ผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ก หมอเจด โดยระบุว่า อาการท้องผูก หรือที่บางคนเรียกว่า “โรคอึเต็มท้อง” เป็นภาวะที่หลายคนเคยเจอ ซึ่งมันจะทำให้อุจจาระอุดตัน ทำให้เกิดการไหลย้อนกลับของอุจจาระและเกิดการตกค้างในลำไส้
หลายคนคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่จริง ๆ แล้ว หากปล่อยไว้นาน อาจกลายเป็นปัญหาทีรบกวนชีวิตประจำวันได้มากกว่าที่คิดเดี๋ยววันนี้เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง
1. โรคอึเต็มท้องคืออะไร
ในทางการแพทย์ อาการท้องผูกหมายถึงการที่เราขับถ่ายอุจจาระได้น้อยกว่าปกติ หรือมีความยากลำบากในการขับถ่าย โดยปกติแล้ว คนเราควรขับถ่ายทุกวันหรืออย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ถ้าน้อยกว่านั้น และอุจจาระแข็ง ถ่ายยาก หรือรู้สึกว่าถ่ายไม่สุด นั่นอาจเป็นสัญญาณของท้องผูกแล้วนะ บางคนอาจคิดว่าท้องผูกเป็นเรื่องของระบบย่อยอาหารเท่านั้น แต่จริงๆ แล้ว มันเกี่ยวข้องกับหลายปัจจัย ตั้งแต่อาหารที่กิน พฤติกรรมการใช้ชีวิต ไปจนถึงภาวะทางจิตใจ เช่น ความเครียด และการพักผ่อนไม่เพียงพออาการที่สังเกตุได้คือ ท้องผูก ท้องอืด อุจจาระ ท้องเฟ้อ ถ่ายแต่ละครั้งค่อนข้างน้อย เรอเปรี้ยว อาเจียน ตดมีกลิ่นเหม็น
2. สาเหตุของโรคอึเต็มท้อง
สาเหตุของอาการท้องผูกมีหลายอย่าง แต่ที่พบได้บ่อย คือ
- ท้องผูกจากลักษณะพฤติกรรม
อันนี้ก็เจอได้บ่อย พฤติกรรมการใช้ชีวิตและการบริโภคอาหารบางอย่างส่งผลต่อระบบขับถ่าย ตัวอย่างเช่น
•การรับประทานอาหารที่มีกากใยน้อย
•บริโภคคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป เช่น ข้าวและแป้ง ซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดอาการท้องผูกได้ หากไม่มีไฟเบอร์เพียงพอ
•ดื่มน้ำน้อย น้ำจะเป็นตัวช่วยให้ลำไส้ทำงานได้ดี หากดื่มน้ำน้อย อุจจาระจะแห้งแข็งและถ่ายยาก
•การกินอาหารที่ทำให้ลำไส้ทำงานหนักขึ้น เช่น อาหารแห้ง เผ็ด หรือไขมันสูง ซึ่งอาจทำให้การเคลื่อนตัวของอุจจาระในลำไส้ช้าลง
- ท้องผูกที่เกิดจากมีการอุดกลั้นทางเดินอาหาร
ในบางกรณี ท้องผูกไม่ได้เกิดจากพฤติกรรมหรืออาหารที่รับประทานเท่านั้น แต่เกิดจากปัจจัยทางกายภาพที่ทำให้ลำไส้ทำงานผิดปกติ เช่น
•ก้อนมะเร็งหรือก้อนเนื้องอกที่อยู่บริเวณลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย ทำให้ขับถ่ายลำบาก เบ่งไม่ออก หรือออกได้น้อยมาก
•มุมของลำไส้ใหญ่ที่แคบเกินไป หรือถูกพังผืดรัดจากการผ่าตัดครั้งก่อน ทำให้ลำไส้เคลื่อนตัวลำบาก เวลาขับถ่ายต้องใช้แรงเบ่งมากขึ้น อาจทำให้รู้สึกปวดท้อง
3.ผลกระทบของอึเต็มท้อง
ท้องผูกไม่ได้แค่ทำให้รู้สึกอึดอัดหรือแน่นท้องเท่านั้น แต่ยังมีผลกระทบอื่น ๆ ตามมา เช่น
•ริดสีดวงทวาร การเบ่งอุจจาระบ่อย ๆ และแรงเกินไปอาจทำให้เส้นเลือดบริเวณทวารหนักโป่งพอง กลายเป็นริดสีดวงทวารได้
•แผลปริที่ทวารหนัก อุจจาระแข็งและการเบ่งแรงอาจทำให้เกิดแผลและมีเลือดออก
•ลำไส้แปรปรวน คนที่ท้องผูกเรื้อรังมักมีอาการปวดท้อง ท้องอืด และรู้สึกไม่สบายตัว
•อุจจาระตกค้าง (fecal impaction)เ ป็นภาวะที่อุจจาระก่อตัวเป็นก้อนแข็งในลำไส้ จนขับถ่ายเองไม่ได้ ต้องได้รับการรักษาทางการแพทย์
•กระทบต่อสุขภาพจิต หลายคนที่มีปัญหาท้องผูก อาจรู้สึกเครียด หงุดหงิด หรือวิตกกังวลเกี่ยวกับการขับถ่าย
4. วิธีป้องกันและรักษา
แต่จริงๆมันป้องกันและแก้ไขอาการท้องผูก ได้โดยการปรับพฤติกรรมง่าย ๆ เช่น
•กินไฟเบอร์ให้มากขึ้น ผัก ผลไม้ และธัญพืชเป็นแหล่งไฟเบอร์ที่ดี ควรกินให้ได้อย่างน้อย 25-30 กรัมต่อวัน
•ดื่มน้ำเยอะ ๆ: อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว หรือตามความต้องการของร่างกาย
•ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: การเดิน วิ่ง ว่ายน้ำ หรือโยคะช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้
•ฝึกนิสัยการขับถ่าย: ไม่ควรกลั้นอุจจาระ และควรฝึกเข้าห้องน้ำเป็นเวลา เช่น หลังอาหารเช้า
•ใช้โพรไบโอติกส์ช่วยปรับสมดุลลำไส้ จุลินทรีย์ที่ดีจะช่วยลดอาการท้องผูก กระตุ้นการเคลื่อนตัวของลำไส้ ช่วยทำให้อุจจาระนุ่มขึ้น และ ลดการอักเสบและช่วยให้ลำไส้แข็งแรง
5.เมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์
แม้ว่าอาการท้องผูกส่วนใหญ่มักหายได้เอง แต่ถ้ามีอาการต่อไปนี้ ควรรีบไปพบแพทย์
•ท้องผูกนานเกิน 3 สัปดาห์ โดยไม่ดีขึ้น
•มีเลือดปนมากับอุจจาระ
•ปวดท้องรุนแรงหรือมีอาการแน่นท้องมาก
•น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
•รู้สึกเหมือนมีอะไรมาขวางที่ลำไส้
โรคอึเต็มท้อง หรืออาการท้องผูก อาจดูเป็นเรื่องเล็ก ๆ แต่ส่งผลกระทบต่อชีวิตได้มากกว่าที่คิด ซึ่งเราป้องกันและรักษาได้ง่ายๆ ด้วยการปรับพฤติกรรมการกิน การดื่มน้ำ การออกกำลังกาย และฝึกนิสัยการขับถ่ายที่ดี หากอาการรุนแรงหรือเป็นเรื้อรัง อันนี้ควรตรวจหาความผิดปกติเกินไป
BUGABOONEWS
ขอบคุณข้อมูลจาก หมอเจด