น้องเมย์ รัชนก ดวล ไท่ ซือ อิง ตัดศึกไทยแลนด์โอเพ่น บาส-ปอป้อ งานหนักปะทะคู่แชมป์โอลิมปิก

ส่วนการเจอกันครั้งนี้ ยังคงเป็น รัชนก ที่โชว์ฟอร์มการเล่นได้เหนือชั้นกว่า งัดเกมบุกที่เด็ดขาดกดดันสาวเดนมาร์กได้ตลอด ก่อนจะเอาชนะได้อย่างขาดลอย 2 เกมรวด 21-8, 21-8 ใช้เวลาไปเพียง 26 นาที ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ 4 คนสุดท้ายได้สำเร็จ โดยจะเข้าไปพบกับ ไท่ ซือ อิง มือวาง 1 ของรายการ มือ 2 ของโลกจากไต้หวัน ที่เอาชนะ เหอ ปิง เจียว มืออันดับ 9 ของโลกจากจีน 21-10, 14-21, 21-18 ใช้เวลารวม 57 นาที
สำหรับสถิติการพบกันระหว่าง รัชนก กับ ไท่ ซือ อิง คู่นี้ถือว่าเป็นคู่รักคู่แค้นที่เคยดวลแร็กเกตกันมาแล้วถึง 30 ครั้ง และผลัดแพ้-ชนะกันมาตลอด ซึ่ง รัชนก ชนะได้ 14 ครั้ง ขณะที่ ไท่ ซือ อิง เหนือกว่าเล็กน้อยชนะได้ 16 ครั้ง โดยครั้งล่าสุดที่พบกันเป็นการแข่งขันรอบ 8 คนสุดท้าย โอลิมปิกเกมส์ 2020 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นเมื่อปีที่แล้ว สาวไทย แพ้ไป 1-2 เกม 21-14, 18-21, 18-21 นอกจากนี้การโคจรมาเจอกันในรอบรองชนะเลิศปีนี้ระหว่าง รัชนก กับ ไท่ ซือ อิง ยังเป็นการรีเพลย์แมตช์ของศึกแบดมินตัน ไทยแลนด์ โอเพ่น ที่ทั้งคู่ได้ดวลกันในรอบเดียวกันนี้เมื่อปีที่แล้ว ซึ่ง ไท่ ซือ อิง เป็นฝ่ายชนะ 2-1 เซต 11-21, 21-18, 21-16

หลังการแข่งขัน รัชนก กล่าวว่า เกมในวันนี้ดูเหมือนจะง่าย แต่ก็ยอมรับว่าคู่แข่งมีการเตรียมตัวมาดีเช่นกัน ซึ่งในการลงแข่งขันก็ไม่ประมาท พยายามเล่นด้วยความระมัดระวัง และคุมเกมได้ดี ค่อนข้างดีใจและพอใจกับฟอร์มการเล่นที่ออกมาในวันนี้ “จากชัยชนะในนัดนี้ และฟอร์มการเล่นที่ออกมาโดยรวมพอใจมาก และช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเองได้เยอะสำหรับการไปเจอกับ ไท่ ซือ อิง ในรอบรองชนะเลิศ เพราะเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่งฝีมือดี โดยเมย์ก็ต้องพยายามเล่นด้วยความอดทน เล่นให้ละเอียด และ พยายามช่วงชิงจังหวะในการทำแต้มจากการหาจุดอ่อนของคู่แข่งในระหว่างการแข่งขันให้ได้ ซึ่งไม่ว่าจะแพ้หรือชนะตอนนี้ยังไม่ได้มองในจุดนั้น อยากจะมองที่การเล่นของตัวเอง ซึ่งเมย์ก็จะพยายามเล่นให้เต็มร้อยตัวเองของฟอร์มตัวเอง และวันพรุ่งนี้เป็นวันหยุดเมย์ก็อยากจะเชิญแฟนกีฬาไทยมาให้กำลังใจในสนามกันเยอะๆนะคะ เมย์ก็จะเล่นเต็มที่รับรองเกมการแข่งขันสนุกแน่นอนค่ะ”
ประเภทคู่ผสม รอบก่อนรองชนะเลิศ (8 คู่สุดท้าย) "บาส" เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ "ปอป้อ" ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย คู่มือวางอันดับ 1 ของรายการ คู่มืออันดับ 1 ของโลก พบกับ เคียวเฮอิ ยามาชิตะ กับ นารุ ชิโนย่า คู่มืออันดับ 33 ของโลกจากญี่ปุ่น โดยแมตช์นี้ บาส กับ ปอป้อ ผนึกกำลังกันเล่นได้เข้าขากันดี และชิงจังหวะบุกทำแต้มได้เฉียบขาดกว่าทำให้ชนะได้อย่างง่ายดาย 2 เกมรวด 21-15 และ 21-8 ใช้เวลาเพียง 34 นาที เดชาพล กับ ทรัพย์สิรี ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศได้สำเร็จ โดยจะเข้าไปตัดเชือกกับ หวัง ยี่ ลู่ กับ หวง ดอง ปิง คู่มืออันดับ 4 ของโลกจากจีน ดีกรีเหรียญทองคู่ผสม โอลิมปิกเกมส์ 2020 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งผ่านเข้ารอบมาได้หลังเอาชนะคู่ผสมไทย "เอ็ม" สุภัค จอมเกาะ กับ "เฟม" ศุภิสรา เพียวสามพราน คู่มืออันดับ 24 ของโลก 2-0 เกม 21-16, 21-15 ใช้เวลารวม 32 นาที

หลังการแข่งขัน บาส-ปอป้อ กล่าวว่า คู่แข่งจากญี่ปุ่นคู่นี้เป็นคู่แข่งที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก เป็นคู่ที่ขึ้นมาใหม่ และมีการเตรียมตัวมาดี พยายามเปิดเกมบุกเข้าใส่ แต่ว่าคู่ของเราเล่นได้เข้าขากันมากขึ้น หลังจากได้ปรับตัวกับสภาพสนามและเกมการเล่นจากรอบที่ผ่านๆ มา “การเข้ารอบรองชนะเลิศไปเจอกับคู่มือวาง 4 ของโลกจากจีนคู่นี้ นับว่าแข็งแกร่งมาก มีดีกรีเป็นเจ้าของเหรียญทองโอลิมปิกเกมส์ ที่โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจริงๆแล้วการผ่านมาถึงรอบรองชนะเลิศนี่ไม่ว่าจะเจอกับคู่แข่งคู่ไหนก็นับว่าหนักไม่แพ้กัน ซึ่งเราก็ต้องเตรียมพร้อมให้ดี สู้กันเต็มที่ ส่วนเรื่องของการคว้าแชมป์นั้นบอกตามตรงเรายังไม่ได้มองไปถึงตรงนั้น เราขอมองไปทีละรอบดีกว่า จะได้ไม่กดดันตัวเองมากเกินไป”

ด้าน สุภัค กับ สุภิศรา กล่าวว่า นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ลงดวลแร็กเกตกับคู่นี้ ซึ่งยอมรับว่าเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่ง และ เหนือชั้นกว่าทั้งอันดับโลก และประสบการณ์ ที่เห็นๆ คือ เป็นคู่นักแบดมินตันที่มีความละเอียดในการตีค่อนข้างสูง เดินเกมของตัวเองได้ดี เราก็พยายามทำเต็มที่แล้ว แม้จะไม่สามารถคว้าชัยชนะและผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศได้ แต่ก็นับว่าพอใจในผลงานครั้งนี้ และการได้เล่นไทยแลนด์ โอเพ่น ทำให้เราเจอคู่แข่งในระดับที่สูง ก็จะได้ประสบการณ์ที่ดีมาก หลังจากนี้ก็จะนำประสบการณ์ไปปรับปรุงเพื่อให้มีการพัฒนาที่ดีขึ้น เพราะยังมีการแข่งขันให้ลงสนามอีกหลายรายการทั้งที่ มาเลเซีย, สิงคโปร์ และ อินโดนีเซีย