ข่าวในหมวด Bugaboo Interview

มองชีวิตให้ง่าย สไตล์พี่ต้น bulldog ปล่อยร่างกายเรียนรู้ "อยู่แบบไม่ทรยศตัวเอง" : Bugaboo Interview


หากลองมองไปรอบๆตัวเรา ทุกสิ่งทุกอย่างมีเรื่องราวเสมอ และ "การเรียนรู้" ก็เป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิต คนทำงานหลายๆคนมักยึดติดกับอะไรเดิมๆ และรู้สึกไม่ชินเวลามีอะไรใหม่ ๆ เกิดขึ้นในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี เพราะรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ ทำให้ชีวิตมันยากขึ้น

จะดีกว่า...ถ้าเรามองชีวิตให้ง่าย สบายๆ ไม่ต้องกดดัน ท่ามกลางความเป็นไปของเรื่องราวรอบตัวเหลานั้น ตามแบบ พี่ต้น สุวัธชัย สุทธิรัตน์ โปรดิวเซอร์มือทองแห่งค่ายแกรมมี่ ผู้ที่มองว่า “ชีวิตก็คล้ายๆศิลปะ ไม่มีถูกไม่มีผิด มีแค่ชอบกับไม่ชอบ เพียงแค่ต้องเรียนรู้และอยู่กับมัน" ให้เป็นคติประจำใจที่ใช้ได้ดีสำหรับตัวเขาเองเสมอ

Bugaboo interview จะพาทุกคนปล่อยร่างกายให้ไหลไปตามที่ควรจะเป็น ไม่ต้องฝืนให้มาก ไม่ต้องลำบากทะเยอะทะยานอย่างหักโหม กับผู้ชายคนนี้ ลองติดตามอ่านกันเลย

ทำความรู้จักกับ ต้น สุวัธชัย สุทธิรัตน์
- พี่ต้น ต้น สุวัธชัย สุทธิรัตน์ โปรดิวเซอร์ส่วนกลางของบริษัท GMM Grammy ทำมา 20 ปีแล้วครับ

จุดเริ่มต้นของการก้าวเข้ามาทำงานในสายดนตรี?
- พี่โตมากับครอบครัวที่ส่งลูกไปเรียนดนตรี พ่อแม่ส่งไปเรียนสยามกลการตั้งแต่เด็ก แต่ไม่ได้ชอบดนตรีนะ แค่คิดว่าเราเป็นคนมีพรสวรรค์ เราไม่ได้ตั้งใจเรียนด้วย แต่พอให้ทำ "ทำได้" พอจบ ม.6 ก็ไปต่อมหาวิทยาลัยด้านมิวสิคอิเล็กทรอนิกส์เทคโนโลยีที่อเมริกา

สมัยนั้นพี่เป็นแฟนเพลงแกรมมี่อยู่แล้ว ชอบเพลงแกรมมี่มากตั้งแต่ยุคพี่เต๋อ ตอนเรียนก็ชอบทำเพลงเอง อะเร้นจ์เพลงเอง พอเรียบจบจึงได้กลับมาไทยและส่งเดโม่เพลงที่ทำไปให้ทางบริษัท ส่วนทางคุณพ่ออยากให้พี่เป็นตำรวจ พี่ก็ไปสมัครให้รอแค่เรียกตัว แต่ระหว่างนั้นโชคดีที่ทางแกรมมี่เขาเรียกไปสัมภาษณ์เลยได้เข้าทำงานที่นั่นเลย

- แล้ว ณ เวลานี้ มองว่าตัวเองประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง?
พี่ไม่เคยฝันว่าจะเป็นแบบนี้แบบที่พี่เป็นนะ คือชีวิตมันจับพลัดจับผลูมาก เราใช้ชีวิตของเราไปเลย ตามที่ควรจะเจอจะเป็น ได้เข้าแกรมมี่ก็น่าจะมาจากเราเป็นคนมีพรสวรรค์ ก็เลยไปได้เรื่อยๆ แต่งเพลงก็ทำเพลงดัง ทุกอย่างก็สู้ไปตามธรรมชาติเลย ถามว่าาตัวเองประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง พอใจมั้ย คือถ้ามองจากมุมคนอื่น เขาคงคิดว่าเราประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่ยังไม่ถึงที่สุด เพราะภรรยาพี่ก็เป็นพนักงานข้าราชการ เงินเดือน 8 หมื่น จะแสนแล้ว เขาโตไปเรื่อยๆ ในขณะที่พี่เท่าเดิมและคงไม่ไปกว่านี้ แต่พี่ก็มีความสุขนะกับสิ่งที่เป็นอยู่ มีเพลงออกมาให้ค่าย สร้างงาน และทำดังทุกปี


- คิดว่าการที่มีพรสวรรค์ตั้งแต่เกิด เป็นเหตุผลที่ทำให้เราไม่แสวงหา-ไขว่คว้าเพิ่ม หรือเปล่า?
พี่ว่ามันไม่ถึงกับไม่แสวงหาเพิ่ม แต่พอเรามีพรสวรรค์ เราจะทำอะไรมันก็ลื่นไหลของมันไปเอง พอเราทำเพลงให้แกรมมี่พี่ก็ไม่เคยคิดว่าต้องทำให้มันดัง ต้องเด่น คือแต่งไปตามอารมณ์ ไม่กดดันตัวเอง ฉะนั้น พี่ถึงบอกว่า พี่เป็นคนมีพรสวรรค์แต่เด็ก และดีที่พรสวรรค์กับความชอบ-ตัวตนของพี่มันไปควบคู่กัน พี่เลยไม่ต้องพยายามทะเยอทะยานมาก และพี่ต้องพูดว่าพี่โชคดี เกิดมาในครอบครัวที่ไม่ได้เริ่มจากศูนย์ มันเลยไม่ได้ลำบาก ต้องปากกัดตีนถีบอะไร ซึ่งพี่มองว่าชีวิตพี่มันดีแล้ว มันแล้วแต่คนจะว่ามองตัวเองกันยังไง

- แรงบันดาลใจ อารมณ์ ในการเขียนเพลงมันมายังไง?
ด้วยความที่เราเป็นคนมีพรสวรรค์ เราจะทำงานได้เร็วกว่าคนอื่น กระบวนการแต่งเพลง คนอื่นอาจจะทำประมาณ 3 อาทิตย์ พี่อาจจะทำอาทิตย์เดียว เราก็ไม่ต้องใช้เวลานาน อารมณ์มันจะออกมาเอง แต่บอกไม่ถูกว่าเป็นอารมณ์แบบไหน ย้อนไปสมัยก่อน พี่ต้องรออารมณ์มาก่อน รอดึกๆ กลางคืน แต่พอเดี๋ยวนี้ ถ้าเขาบอกว่า พรุ่งนี้ต้องเสร็จ ก็เสร็จ! อาจเพราะเราแต่งเพลงมาเยอะเป็น 100 เพลง มันจึงมีขั้นตอนในการคิดประกอบร่างภาพรวม มีวิธีการของตัวเองเป็นขั้นๆ และไม่ค่อยมีช่วงที่คิดไม่ออกด้วย มีแค่ฝืดๆ นิดหน่อยเวลาต้องแต่งติดๆ กันแล้วงานมันซ้ำ

- เคยมีภาวะหมดไฟในการทำงานมั้ย?
หมดไฟมีนะ แต่ไม่ได้หมดไฟเพราะคิดไม่ออก เป็นเพราะเรื่องอื่น เช่น เศรษฐกิจไม่ดี ต้องทำงานหนักขึ้นโดยที่ได้เงินอาจจะน้อยกว่าเดิม ปัจจัยรอบๆตัวมากกว่าที่ทำให้หมดไฟ รวมถึงหรือวิธีการเสพงานเพลงของมนุษย์มันเปลี่ยนไปแล้ว เราก็คิดงานยากขึ้นบ้าง อย่างเทรนด์ของเพลงมันก็จะวนไปวนมา ผ่านไปเดี๋ยวก็กลับมาใหม่อยู่แบบนี้แหละ ฉะนั้น  เราต้องจับทางให้ถูก อยู่ให้ได้ ปรับตัวให้ทัน มองที่ตัวเองเป็นหลัก

- คำว่า "ความปลี่ยนแปลง" มีผลอะไรกับชีวิตพี่มั้ย?
พี่ว่ามันไม่ได้กระทบนะ แต่มันมีความน่ารำคาญมากกว่า รำคาญในการแก้ปัญหาหรือการมองสิ่งรอบข้างที่ดำเนินไปกับชีวิตเรา วิธีการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไป แค่เราต้องปรับตัวอันนี้สำคัญ บางคนไม่ปรับตัวก็ไม่ทันสมัย "เหมือนกับงานศิลปะ มันไม่มีถูกไม่มีผิด มีแค่ชอบกับไม่ชอบ" เราต้องทูเวย์ ปรับได้แก้ได้ รับฟังคำวิจารณ์ และปรับตามที่มันควรจะเป็นนะ ไม่ใช่ปรับมั่ว ใครพูดอะไรก็ไหลไปตามเขา ต้องถกกันและอธิบายได้มีเหตุมีผล ให้พี่เก่งแค่ไหนพี่ก็ต้องปรับ และนี่แหละคงเป็นเพราะที่ยอมปรับยอมเปลี่ยนถึงอยู่กับมันได้

- เมื่อการทำงานเกิดปัญหา ความเห็นไม่ตรงกัน เราใช้วิธีไหนในการจัดการ?
พี่ใช้การอธิบาย ทำงานบริษัทใหญ่ๆมันต้องขี่โม้เก่ง โน้มน้าวใจเก่ง แต่ต้องทำให้ได้ด้วยนะ จะครับๆๆอย่างเดียวไม่ได้ เค้าไม่เห็นความคิดเรา เราต้องสื่อออกไป


- หลักคิดที่ยึดถือในการทำงานเสมอมา..?
การไม่ทรยศต่ออาชีพตัวเอง ถ้างานมันยังไม่ดีในความคิดเราตอนนั้น ถ้ามันมีข้อเสียแม้จุดเล็ก ๆ ในงานของเรา พี่จะไม่ปล่อยผ่าน ต้องให้งานออกมาดีที่สุด นี่แหละไม่ทรยศอาชีพของเรา

- นิยามคำว่า "ความสุข" ของพี่ต้นคือไร?
ตอนนี้ความสุขของพี่ คือการได้อยู่กับครอบครัว ภรรยา ทำกิจกรรมร่วมกันหลังเลิกงาน เสาร์-อาทิตย์ แต่สมัยก่อนเนี่ยชีวิตนักดนตรีคือคนกลางคืน (แต่เปลี่ยนเป็นคนกลางวันแล้วนะ) ที่นักดนตรีบอกว่ากลางวันคิดไม่ออก ต้องคิดกลางคืน มันคือข้ออ้างที่พี่ก็เป็น ต้องทำกลางคืนทำตี2ตี3 นอนเช้า ทำแบบนี้มานาน 10 ปี ตื่นมาก็ไปทำงาน ไม่ค่อยเจอภรรยา แถมสูบบุหรี่จัดวันละซอง แต่เลิกไป 7-8 ปีแล้ว มันเป็นเองอยู่ดีๆมันก็ไม่อยากสูบเอง ไม่แตะเลย ตอนนี้เหม็นเลยนะ แล้วชีวิตการทำงานก็เปลี่ยนไป แต่เพลงกลางวันไป ตอนนี้ตื่น 6 โมง 5 ทุ่มนอน ก็มีความสุขขึ้น

ย้อนไปอีกช่วงก่อนหน้านี้ พี่มีปัญหาด้านสุขภาพ ป่วยเป็นสโตรก หรือโรคหลอดเลือดสมอง โรคนี้ไม่มีสาเหตุ อายุเท่าไหร่ก็เป็นได้ ตอนนั้นพี่ล้มลงไปเลย อาการคือร่างกายซีกขวาใช้ไม่ได้ คล้ายอัมพฤก ไม่มีแรง พูดไม่ได้ปากเบี้ยว แต่ถือว่าโชคดีมากไม่เป็นไร ตอนนี้อาจจะพูดไม่ชัด ซึ่งคนรอบตัวพี่จะบอกว่า พี่โคตรโชคดีเลย ที่พี่ตื่นมาหายจากอาการแล้วเป็นปกติ พูดได้เดินได้ เหมือนแมวเก้าชีวิตแล้ว เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ แต่พี่ไม่ได้รู้สึกแบบนั้น มันไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่ พี่อาจจะนิสัยเสียด้วย ชอบคิดว่าชีวิตมันง่ายๆ ชีวิตพี่ไม่ได้ซีเรียส อาจจะคิดไม่ถูกนะแต่พี่กลับเชื่ออย่างหนึ่งว่า ถ้าคนเรามันไม่อยากตาย มันจะไม่ตาย แล้วตอนที่พี่ล้มลงไปพี่ก็ไม่คิดนะ ว่าพี่จะไม่ฟื้น ตื่นมาก็ไม่ได้ถามว่าเป็นอะไรยังไง เมื่อเราขยับตัวได้ เราเองก็ไม่อยากตายหนิ ก็ไม่ตาย 

- สรุปนิยามตัวเอง
ณ เวลานี้ พี่ขอใช้คำว่า "ฟื้นคืนชีพ" เพราะถือเป็นมิติใหม่ของตัวเอง ความคิดเปลี่ยน การกระทำ ทุกคนมีหน้าที่ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการหาเลี้ยงชีพ ดูแลครอบครัว เด็กกับผู้ใหญ่ก็คิดต่างกัน เด็กๆไม่คิดอะไรมากหรอก ทำได้เสี่ยงไปหมด จนมานั่งยอนดู ทำไปได้ไง พอโตเราก็มีครอบครัว มีคนต้องดูแล พี่แค่โชคดีที่พ่อแม่มีให้หน่อยนึง และเราต้องทำหน่อยหนึ่งที่มีให้มากขึ้นไปอีก และปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามที่ควรจะเป็น

จากบทสัมภาษณ์ของ พี่ต้น สุวัธชัย สุทธิรัตน์ ชายหนุ่มนักเขียนเพลง "ผู้ที่ทำให้ดนตรีมีความหมาย" ได้สอนให้เรารู้ว่า เราเองก็ทำให้ชีวิตเป็นไปด้วยความหมายได้ด้วยการปล่อยให้ร่างกายและจิตใจเรียนรู้ไปตามธรรมชาติ  เข้าใจให้มาก คาดหวังให้น้อย ไม่ต้องฝืนดิ้นรน ฝากให้สิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวเป็นผู้นำพา เราอาจจะพบว่า อุปสรรคต่างๆที่เราเผชิญ มันไม่ได้ทำให้ใจเราเป็นทุกข์ได้เท่าไหร่นัก "เพราะเมื่อปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไป...เมื่อนั้นใจจะเป็นสุขเอง".

สัมภาษณ์, เรียบเรียง : ชุดา ลิมป์กมลธรรม
ภาพ : ณัฐวรรธน์ เหมืองหม้อ 

ดูเพิ่มเติมแสดงน้อยลง Bookmark