ลำปาง…มีมากกว่ารถม้าและชามตราไก่
หลังจากได้รู้ข่าวว่าจะมีโอกาสได้ขึ้นเหนือมาเที่ยวที่จังหวัดลำปางล่วงหน้าเพียงแค่ 3 วัน ต้องบอกว่าเป็นเวลาที่ค่อนข้างกระชั้นชิดจนแทบไม่มีเวลาเตรียมตัวหาข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับจังหวัดนี้ ที่รู้มาก็คือ
มีรถม้าและชามตราไก่ให้ได้ดู
เมื่อเครื่องบินลงจาก
สายการบินบางกอกแอร์เวย์ลงจอดที่สนามบินแห่งชาติลำปาง เราและเพื่อนร่วมทริปก็มุ่งหน้าไปยัง
“พิพิธภัณฑ์เซรามิคธนบดี” ที่นี่เขาจะร่วมรวมเรื่องราวของ
ชามตราไก่สัญลักษณ์แห่งเมืองลำปางเอาไว้ ซึ่งสถานที่แห่งนี้ก่อตั้งโดยชาวจีนแผ่นดินใหญ่ชื่อว่า
อาปาอี้ (ซิมหยู) แซ่ฉิน ซึ่งท่านผู้นี้ได้อพยพหนีความยากจนจากจีนมาอาศัยในประเทศไทยช่วง
ยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 และบังเอิญมาค้นพบ
แร่ดินขาวที่บ้านปางค่า อ.แจ้ห่ม จังหวัดลำปางแห่งนี้ เห็นว่ามีคุณภาพดีเหมาะแก่การนำมาปั้นขึ้นรูปเป็นถ้วยชาม จึงเป็นจุดเริ่มตนให้เกิดชามตราไก่ของดีประจำเมืองลำปางขึ้นมา
ใครที่มาเยี่ยมชมที่พิพิธภัณฑ์เซรามิคธนบดีแห่งนี้นอกจะได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเครื่องปั้นเซรามิคต่าง ๆ แล้ว เราจะได้เห็น
เตามังกร เตาโบราณที่เขาใช้เผาเครื่องปั้นเซรามิคในยุคก่อน พร้อมทั้งเรียนรู้วิถีชีวิตของคนลำปางในยุคก่อนอีกด้วย
หลังจากได้ทำความรู้จักกับของดีเมืองลำปางกันไปแล้ว พวกเราก็เดินทางกันมาต่อที่
“อินทรา เอาท์เลท” ศูนย์จำหน่ายเซรามิคที่ใหญ่ที่สุดของเมืองลำปาง ที่นี่เขาจะมีเครื่องปั้นเซรามิคมากมายหลากหลายรูปแบบที่คัดเกรดคุณภาพดีที่สุด ทั้งถ้วย จาน ชาม ชุดถ้วยน้ำชากาแฟต่างๆ สีสันสวยงามมีมากมายหลายแบบให้เลือกซื้อไปฝากคนที่บ้านได้ และสำหรับใครที่ขี้เกียจขนกลับบ้านให้หนักกระเป๋า ที่นี่เขาก็มีบริการขนส่งให้ด้วย เหมาะมากๆสำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเรา
เริ่มต้นทริปลำปางด้วยชามตราไก่สัญลักษณ์เด่นของเมืองนี้กันไปแล้ว ตอนนี้เราก็ต้องไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของนครลำปางกันเพื่อสิริมงคลรับปีใหม่กันสักหน่อย
เรามากันที่
“วัดพระธาติลำปางหลวง” วัดเก่าแก่อายุกว่าพันปีที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองมาช้านาน ใครที่มาเที่ยวลำปางนั้น ต้องแวะไปกราบไหว้ให้ได้สักครั้ง เพราะภายในองค์พระเจดีย์
บรรจุพระเกศา และพระอัฐิธาตุ จากพระนลาฎข้างขวาของพระพุทธเจ้า นอกจากนี้
พระธาตุลำปางหลวง ตามความเชื่อของล้านนานั้นยังเป็น
พระธาตุประจำปีเกิดของคนเกิดปีฉลู เพราะวัดนี้เริ่มสร้างขึ้นในปีฉลู และเสร็จในปีฉลู
เป็นวัดไม้ที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของไทย มีความสวยงามด้วยสถาปัตยกรรมเก่าแก่มากมาย ไฮไลท์สำคัญนอกจากการมากราบไหว้พระธาตุแล้วยังสามารถชมมหัศจรรย์เงาพระธาตุ และ
พระวิหารในด้านมุมกลับได้อีกด้วย ซึ่งจะอยู่ในบริเวณด้านข้างของพระธาตุ จบจากการไหว้สักการะพระธาตุแล้ว บริเวณรอบ ๆ วัดก็มีรถม้าไว้คอยบริการนักท่องเที่ยว จะนักเล่นชมเมืองหรือถ่ายรูปสวยๆก็ได้ การมาเที่ยวลำปางในทริปนี้ทำให้เราได้รู้ว่าเมืองลำปางเป็นอีกหนึ่งจังหวัดในประเทศไทยที่มีวัดเก่าแก่มากมาย อีกทั้งยังเป็นวัดที่มีศิลปะแบบพม่าซึ่งสวยงามและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
วัดศรีชุม คือหนึ่งในวัดพม่าของลำปางที่เรามีโอกาสได้เข้ามาไหว้พระขอพรและเยี่ยมชมความสวยงามของวิหารไม้สักทองที่แกะสลักลวดลายไว้อย่างสวยงามตะการตามากๆ วัดศรีชุมแห่งนี้เป็นวัดที่
กรมศิลปากรประกาศให้เป็นโบราณสถานแห่งชาติ เมื่อปี พ.ศ.2524 อีกด้วย
หลังจากได้รับรู้ถึงประวัติศาสตร์คร่าวๆผ่านวัดวาอารามทั้ง 2 แห่ง เราก็มีความรู้สึกโหยหาอดีตละอยากทำความรู้จักเมืองลำปางแห่งนี้ให้ลึกซึ้งมากขึ้นไปอีก เพราะฉะนั้นเราจึงไม่รอช้าที่จะแวะเข้าไปเที่ยว
“พิพิธภัณฑ์มิวเซียมลำปาง” ที่นี่ตั้งอยู่ใกล้กับบริเวณศาลหลักเมืองลำปาง ซึ่งตอนนี้เขากำลังจัดแสดงนิทรรศการชุด
“คน – เมือง – ลำปาง”
โดยนำเสนอหัวข้อหลักว่าด้วยเรื่อง
“คน” ที่มีบทบาทสำคัญปรากกฎอยู่ในเรื่องราวของจำหวัดลำปาง ความเป็นมาเป็นไปของ
เมืองลำปางทั้ง 13 อำเภอ เล่าถึงความเหมือนและความแตกต่าง ต่างๆ ผ่านเทคโนโลยีสมัยใหม่แบบ
Interactive ซึ่งน่าสนใจ เพลินเพลินและเหมาะกับยุคสมัยมากๆ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้
เปิดให้เข้าชมฟรีทุกวันอังคาร – ศุกร์ ตั้งแต่ 9โมงเช้า ถึง 5 โมงเย็น
จบจากเรื่องราวของประวัติศาสตร์แห่งเมืองรถม้าก็ได้เวลาแดดร่มลมตกพอดิบพอดี บรรยากาศดีๆแบบนี้ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ต้องห้ามพลาดที่จะแวะมาเดินเล่นหาของกินที่
“กาดกองต๊า” หรือตลาดเก่า เป็น
ตลาดถนนคนเดินที่เก่าแก่ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งมีความสำคัญและถือเป็นย่านศูนย์กลางการค้าขายแห่งภาคเหนือเลยทีเดียว
ในอดีตย่านนี้มีผู้คนจากหลายเชื้อชาติอาศัยอยู่ยาวนานกว่า 100 ปี อาคารบ้านเรือนบริเวณนี้จึงมี
รูปแบบสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างยุโรป จีน และพม่า สร้างความโดดเด่นและสวยงามให้กับตลาดแห่งนี้ทำให้เราเดินเพลินแบบไม่รู้เหนื่อยกันเลยทีเดียว และขอเน้นย้ำอีกทีว่า
“ตลาดกองต๊า” แห่งนี้
เปิดเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 5 โมงเย็นไปต้นไปเท่านั้นนะ
ลำปางเมืองแห่งธรรมชาติที่รอการค้นพบ
เริ่มต้นเช้าวันที่ 2 ของทริป หลังจากที่เมื่อวานเราตระเวนเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ฯ วัดวาอาราม รวมถึงตลาดถนนคนเดินกันไปแล้ว วันนี้เราตื่นกันตั้งแต่ตี 5 เพื่อที่จะเดินทางออกไปยังนอกเมืองกันสักหน่อย โดยจุดหมายของเราที่แรกในวันนี้คือสถานที่ท่องเที่ยวที่ว่ากันว่า Unseen มาก ๆ ซ่อนตัวอยู่กลางป่าใหญ่ใน
อ.งาว ที่ที่เรากำลังพูดถึงคือ
“หล่มภูเขียว” เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอยู่ใน
เขตอุทยานแห่งชาติถ้ำผาไท มีลักษณะเป็นบ่อน้ำขนาดใหญ่เนื้อที่ราว 1-2 ไร่ เป็นแหล่งน้ำอยู่บนเขามีลักษณะ
คล้ายปล่องภูเขาไฟ น้ำในแอ่งลึกมากจนมองเห็นเป็นสีเขียวมรกตสวยงาม ทีมงานที่พามาเล่าให้เราฟังว่า เคยมีนักดำน้ำดำลงไปสำรวจความลึก ซึ่งดำลงไปได้ถึง 40 เมตร ก็ยังไม่ถึงก้นบ่อสักที จึงล้มเลิกความตั้งใจในการสำรวจไป นอกจากน้ำสีฟ้าสวยงามแล้วที่นี่ยังมีปลาตัวใหญ่ ๆ จำพวกปลากพวงอาศัยอยู่อีกด้วย แต่ต้องขอบอกว่าใครที่มาเที่ยวห้ามให้อาหารปลาโดยเด็ดขาดเพราะอาจทำให้น้ำเน่าเสียได้
หากใครอยากแวะมาชมความสวยงามที่ลึกลับสะกดสายตาเราได้แบบนี้ ต้องบอกว่าควรจะตื่นแต่เช้ากันสักนิด เพราะเจ้าหน้าที่บอกมาว่าที่นี่หากเข้ามาชมตอนสายๆน้ำในบ่อจะไม่สวยใสขนาดนี้ และอยากฝากให้ทุกคนที่มาเคารพสถานที่และดูแลรักษาธรรมชาติและสภาพแวดล้อมกันด้วยนะครับ
เราเดินทางออกมาจาก
“หล่มภูเขียว” ด้วยความรู้สึกอิ่มเอมและทึ่งในความสวยงาม หลังจากนี้เราและทีมงานได้มุ่งหน้าต่อไปยัง
“วัดจองคำ” พระอารามหลวงที่อยู่ในตัว อ.งาวเช่นเดียวกัน
ที่
วัดจองคำแห่งนี้มีความพิเศษอยู่ที่
พระมหาเจดีย์พุทธคยาจำลอง ซึ่งสร้างโดยการถอดแบบมาจากประเทศอินเดียทุกตารางนิ้ว ทั้งความสวยงามของสถาปัตยกรรม ไปจนถึงทิศที่ตั้ง ตัวเจดีย์ก่อสร้างด้วยหินทรายสีนํ้าตาลนวล ลักษณะเป็นทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีความสวยงามไม่แพ้องค์จริงที่ประเทศอินเดียเลยทีเดียว
จุดหมายต่อไปหลังจากไหว้เจดีย์พุทธคยาจำลองที่วัดจองคำไปแล้ว เรากำลังจะมุ่งหน้าไปยัง
“ดอยแม่แจ๋ม” เพื่อไปนอนพักค้างคืนสัมผัสกับอากาศหนาวและชีวิตสโลว์ไลฟ์กันสักหน่อย
จิบกาแฟ แช่ออนเซน เรียนรู้วิถีชาวบ้าน
เรามาถึง
ดอยแม่แจ๋มช่วงค่ำพอดีจึงยังไม่เห็นความสวยงามของบรรยากาศต่าง ๆ มากนัก แต่สิ่งที่รู้สึกได้ทันทีที่ลงจากรถคืออากาศเย็น ๆ ที่ปกคลุมอยู่ทั่ว
ดอยแม่แจ๋มแห่งนี้ เราผ่านคือแรกบนดอยแม่แจ๋มด้วยเสื้อ 2 ชั้นและห่มผ้าห่ม 2 ผืน
อากาศหนาว ๆ บนดอยยังไม่จางไปแม้ตอนนี้จะเป็นเวลาเช้าแล้ว แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือเราได้เห็นภาพบรรยากาศสวย ๆ และวิถีชีวิตของชาวบ้านที่นี่ ซึ่งดูกลมกลืนไปกับธรรมชาติและไม่เร่งรีบ มีเสน่ห์ในแบบฉบับเมืองเล็ก ๆ ท่ามกลางหุบเขาควรจะเป็น เมื่อจัดการกับข้าวต้มร้อน ๆ พร้อมกับมองวิถีชีวิตของชาวบ้านเรียบร้อยแล้วเราก็ไม่รอช้าที่จะเข้าไปเยี่ยมชมสวนกาแฟและไร่แมคคาดิเมียที่ “ไร่สุวรรณ” มีโอกาสได้ชิมกาแฟที่เพิ่งคั่วสดๆจากสวนแห่งนี้ รสชาตินุ่มหอมและกลมกล่อมมาก ๆ
หลังจากดื่มด่ำบรรยากาศสวยๆและกลิ่นหอมของกาแฟจนหน้ำใจแล้ว เราก็ออกเดินทางต่อไปยัง
“อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน” ซึ่งอยู่ห่างจากดอยแม่แจ๋มประมาณหนึ่งชั่วโมงนิด ๆ
ที่
อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนนั้นมี
“บ่อน้ำพุร้อนแจ้ซ้อน” เป็นแหล่งน้ำพุร้อนที่มีสภาพการเกิดทางธรณีวิทยา มีกลิ่นกำมะถันอ่อน ๆ
จำนวน 9 บ่อด้วยกัน นักท่องเที่ยวที่มาจะนิยมนำไข่มาแช่บ่อน้ำร้อนที่นี่ ซึ่งไข่ที่ผ่านการแช่น้ำร้อนที่นี่จะมีรสชาติอร่อย และ มีคุณค่าทางอาหารสูงกว่าไข่ลวกปกติทั่วไป เพราะจะได้แร่ธาตุต่างๆจากธรรมชาติด้วย ถึงขนาดมีเมนูขึ้นชื่อของที่นี่คือเมนู
“ไข่น้ำแร่แจ้ซ้อน”
จากบ่อน้ำพุร้อนเราสามารถเดินมาแช่ออนเซ็นเพื่อผ่อนคลายความเหนื่อยล้าจากการเดินทางได้ และห่างออกไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตร เราสามารถเดินขึ้นไปเยี่ยมชม
“น้ำตกแจ้ซ้อน” ได้อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่มีทั้งน้ำเย็นและน้ำร้อนอยู่ในที่เดียวกัน
จบจากการเที่ยวชมอุทยานฯแล้ว เราก็เดินทางไปดูวิถีชีวิตชาวบ้านกันต่อที่
“ชุมชนบ้านป่าเหมี้ยง” ที่นี่เป็นชุมชนเก่าแก่ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องของ
การปลูกใบเมี่ยง หรือ
ใบชาในภาษากลางนั่นเอง ชาวบ้านมีการรวมกลุ่มกันทำหมอนใบชาเพื่อสุขภาพเป็นสินค้าประจำชุมชน และนอกจากใบชาแล้วที่นี่ยังมีไร่กาแฟให้ได้ลองชิมกันด้วย เราทานอาหารเที่ยงจากฝีมือกลุ่มแม่บ้านที่นี่ซึ่งอร่อยมาก ๆ และอยากจะมีเวลานอนค้างคืนที่นี่สักคืน เพราะที่นี่มีโฮมสเตย์หลายหลังให้เราได้นอนพักผ่อนอีกด้วย
ทริปลำปาง 3 วัน 2 คืน ของเราและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจบลงไปอย่างรวดเร็ว เราต้องโบกมือลาชาวบ้านที่
บ้านป่าเหมี้ยงรวมถึงเมืองลำปางแห่งนี้ เพื่อกลับไปใช้ชีวิตในเมืองกรุงฯกันต่อ แต่ยังไงก็ตามการได้มาทำความรู้จักเมืองลำปางในทริปนี้ทำให้เราเห็นว่าจังหวัดเล็กๆแห่งนี้มีความน่าสนใจที่ยังรอการค้นพบอีกมากมาย และเชื่อเหลือเกินว่าในอนาคตอีกไม่นานเมืองรถม้าแห่งนี้จะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวจากทุกมุมโลกอย่างแน่นอน