รายงานพิเศษ : เสนอรัฐนิรโทษแรงงานเถื่อนแก้ปัญหาส่วย
ข่าวภาคค่ำ - ภาคอุตสาหกรรมมีความต้องการแรงงานจำนวนมาก แต่ต้นทุนนำเข้าสูง ทำให้เกิดวงการส่วยแรงงาน จนเกิดการทะลักเข้ามาของแรงงานประเทศเพื่อนบ้าน ส่งผลให้คุมโรคโควิด-19 ไม่อยู่ การนิรโทษกรรม เพื่อดึงแรงงานเข้าระบบ จะช่วยยุติวงจรส่วยได้หรือไม่ ติดตามจากรายงานคุณมะลิ แซ่ฉิ่น
ตอนนี้ยังมีแรงงานตามตะเข็บชายแดน ที่รอเข้าไทย มาหางานทำ จากที่มีอยู่แล้วกว่า 2 ล้านคน ซึ่งเกินกึ่งหนึ่งเป็นแรงงานที่มีบัตรถูกต้อง หรือ รีเอ็นทรี่ เพอร์มิท และอีกไม่น้อย ทยอยลักลอบเข้าเมือง เพราะขั้นตอนที่ล่าช้า นี่เป็นสิ่งที่ประธานกรรมาธิการแรงงาน ยืนยันว่า จะเป็นสาเหตุทำให้การควบคุมโรคโควิด-19 จากนี้ทำได้ยากขึ้น
เพื่อแก้ปัญหานี้อย่างถาวร แนะนำให้รัฐ เร่งออกมาตรการขึ้นทะเบียนแรงงานแบบรวมศูนย์ โดยหยุดไล่ล่า จับกุม และนิรโทษกรรมแรงงานเถื่อน เพื่อให้นายจ้างนำแรงงานที่มีเข้าระบบให้ถูกต้อง โดยการลดค่าใช้จ่ายขึ้นทะเบียนเป็นแรงจูงใจ เท่านี้ก็จะยุติวงจรส่วยแรงงานได้
ข้อเสนอนี้ตรงกับ ส.อ.ท. ที่ออกมาแสดงเจตจำนงค์ชัด พร้อมเป็นหน่วยงานกลางประสานงานร่วมกับกรมการจัดหางาน เพื่อตั้งศูนย์บริหารจัดการนำเข้าแรงงานเบ็ดเสร็จ และวางระบบดูแลการนำเข้าโดยเฉพาะแรงงานเอ็มโอยูจากประเทศต่าง ๆ ทั้งเมียนมา สปป.ลาว กัมพูชา โดยยอมรับว่า ไทยยังจำเป็นต้องพึ่งพาแรงงานประเทศเพื่อนบ้านหากภาคการส่งออกฟื้นตัว และเพื่อให้การทำงานสมบูรณ์แบบ ส.อ.ท.จะช่วยค่าธรรมเนียมขนส่ง ลดขั้นตอนนายหน้าจัดหางาน จาก 15,000-30,000 บาท/คน เหลือแค่หลักพันบาท วิธีนี้ยังทำให้การตรวจสอบที่มาที่ไปของแรงงานทำได้ง่ายด้วย
ทั้งนี้ ปัจจุบันไทยมีแรงงานประเทศเพื่อนบ้านประมาณ 2.5 ล้านคน ส่วนใหญ่อยู่ในภาคบริการ โรงแรม ธุรกิจร้านอาหาร ส่วนภาคอุตสาหกรรมรองลงมา มีทั้งอุตสาหกรรมอาหาร และประมง ขณะที่การจ้างงานทั้งระบบมีถึง 38.5 ล้านคน แบ่งเป็น ภาคเกษตร 10.51 ล้านคน ภาคบริการค้าปลีก 6.65 ล้านคน ธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร 3.15 ล้านคน ภาคการผลิต 6.50 ล้านคน จากสถิติจะเห็นว่าแรงงานประเทศเพื่อนบ้านในประเทศ ณ เดือนพฤษภาคม 2563 มี 2.53 ล้านคน เป็นแรงงานตามมาตรา 59 ประมาณ 2.41 ล้านคน โดยเฉพาะแรงงาน MOU มี 1.02 ล้านคน และการนำเข้าตาม name list อีก 1.26 ล้านคน
ข้อเสนอทั้งหมด ก็หวังจะสร้างความยั่งยืนด้านแรงงานในภาคอุตสาหกรรม ไม่ใช่การแก้ปัญหาแบบวัวหาย ล้อมคอก แบบที่ต้องเผชิญในปัจจุบัน แต่จะไปถึงฝั่งฝันหรือไม่ ก็อยู่ที่รัฐบาลว่าอยากแก้ปัญหาให้ตรงจุด หรือหยุดปัญหาส่วยที่มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่