ตามดูคดีโกงสนามฟุตซอล ประวิงเวลาหรือไม่

เจาะประเด็นข่าวค่ำ - ช่อง 7HD ตรวจสอบความคืบหน้าเกี่ยวกับการดำเนินคดีทุจริตสนามฟุตซอล ที่สังคมเข้าใจกันว่ามีการส่งฟ้อง นายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาลกันไปแล้ว แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการฟ้องคดีแต่อย่างใด เนื่องจากมีการเสนอไปยังอัยการสูงสุดให้รวมกับอีก 5 สำนวน เพื่อฟ้องในคราวเดียวกัน

คดีนี้ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดสำนวนแรกเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ปี 2562 ระบุผู้กระทำผิดรวม 24 ราย โดย 3 คน เป็น สส.พลังประชารัฐ ประกอบด้วย นายวิรัช นางทัศนียา รัตนเศรษฐ สส. เขต 7 และนางทัศนาพร เกษเมธีการุณ สส.เขต 8 นครราชสีมา น้องภรรยานายวิรัช แต่เมื่อส่งสำนวนไปที่อัยการสูงสุด กลับมีความเห็นที่แตกต่างออกไป ทำให้ต้องตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างฝ่ายอัยการสูงสุดกับ ป.ป.ช. ใช้เวลาพิจารณาร่วมกันกว่า 1 ปี กระทั่งมีข่าวในช่วงปลายปีที่ผ่านมาว่า อัยการสูงสุดจะส่งฟ้องคดีนี้แล้ว

แต่เมื่อทีมข่าวช่อง 7HD ตรวจสอบกลับพบว่า ยังไม่มีการฟ้องคดีดังกล่าวแต่อย่างใด เนื่องจากทางฝั่งอัยการมีการเสนอให้รวมอีก 5 สำนวน ทุจริตสนามฟุตซอลในพื้นที่ต่าง ๆ ที่ ป.ป.ช.ชี้มูลเพิ่มเติมไปไว้ในสำนวนเดียวกับของนายวิรัชและพวก

ทีมข่าวช่อง 7HD จึงสอบถามไปยัง นายนิวัติไชย เกษมมงคล รองเลขาธิการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษก ป.ป.ช. เกี่ยวกับความคืบหน้าเรื่องนี้ ได้รับคำตอบว่า ในชั้นคณะทำงานร่วมระหว่าง ป.ป.ช. และอัยการ เห็นสมควรให้สั่งฟ้องทั้ง 6 สำนวน แต่ขึ้นอยู่กับอัยการสูงสุดจะมีคำสั่งให้รวมสำนวนฟ้องหรือไม่

ด้านดอกเตอร์ มานะ นิมิตมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันประเทศไทย ตั้งข้อสังเกตว่าคดีนี้ไม่มีความจำเป็นต้องล่าช้าออกไปอีก เพราะมีการสรุปคดีไปแล้ว จึงขอให้สำนักงานอัยการสูงสุดชี้แจงต่อสาธารณะ ว่าอะไรเป็นสาเหตุที่แท้จริง

ขณะที่ นายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาลที่ถูกกล่าวหาในเรื่องนี้ ปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นเกี่ยวกับการรวมสำนวนฟ้อง บอกแต่เพียงว่า กำลังอยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐานเพื่อสู้คดี และไม่กังวลว่าจะถูกวิจารณ์เรื่องยื้อคดี เพราะทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม และจะทำหน้าที่ต่อไปตามปกติ

สำหรับคดีนี้ในแง่ของกฎหมาย การยืดเวลาส่งฟ้องออกไป มีผลต่อชีวิตทางการเมืองของ 3 สส.พรรคพลังประชารัฐ ในเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ เพราะตามรัฐธรรมนูญมาตรา 238 (2) ระบุว่า เมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ประทับรับฟ้องคดีที่ ป.ป.ช. ส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดดำเนินการฟ้อง ให้ผู้ถูกกล่าวหาหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะมีคำพิพากษา เว้นแต่ศาลฎีกาฯจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น ซึ่งที่ผ่านมาศาลฎีกาฯ ยังไม่เคยมีคำสั่งเป็นอย่างอื่นมาก่อน