ข่าวในหมวด Bugaboo Interview

ปลุกพลังกับ นิค จิโรจน์ นักวาดอิสระ ทัศนะคลีนๆ "รักสิ่งไหน ก็พาตัวเองไปอยู่ใกล้ๆ": Bugaboo Interview


ความฝันคือสิ่งที่สวยงาม มนุษย์เรามีชีวิตอยู่ได้เพราะมีเป้าหมาย... ถึงแม้ว่าเป้าหมายและความสุขของแต่ละคนจะแตกต่างกัน แต่หากเราได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำ หรือได้ในสิ่งที่ใจต้องการนั้นก็ถือว่าชีวิตนี้ประสบความสำเร็จแล้ว Bugaboo interview ขอพาทุกคนมาสัมผัสถึงมุมมองแง่บวกของ นิค จิโรจน์ เปี่ยมพุก นักวาดรูปอิสระ บุคคลที่บอกกับตัวเองเสมอว่า "ถ้าหากชอบ หรืออยากทำอะไรที่เราชอบ ควรเอาตัวเองไปอยู่ใกล้สิ่งนั้นให้มากที่สุด แค่นี้ก็มีความสุขเเล้ว"

ทำความรู้จักเพิ่มเติมกับ นิค จิโรจน์ เปี่ยมพุก...

สวัสดีครับ นิค จิโรจน์ เปี่ยมพุก อายุ 29 ปี ทำอาชีพ นักวาดภาพอิสระ จุดเริ่มต้นมาจากการชอบดูละครจักรๆวงค์ๆ ชอบเส้นสีลวดลายไทยๆ จนกลายเป็นความชอบ และได้มีโอกาสสร้างผลงานต่างๆ มากมากย โดยเฉพาะงานระดับนานาชาติ คือการออกแบบ และวาดสติ๊กเกอร์ไลน์ให้กับทาง Disney Thailand ถือเป็นความภาคภูมิใจ และเป็นพลังผลักดันให้เราได้ทำสิ่งที่ตัวเองรักมาจนถึงทุกวันนี้


แล้ว ณ เวลานี้ มองว่าตัวเองประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง?

นิค : เรียกว่ามาไกลแล้วกัน คำว่าประสบความสำเร็จเดี๋ยวนี้มันเป็นเหมือนดาบสองคม มันทำให้คนรู้สึกดี แต่ก็ทำให้หลายๆ คนรู้สึกว่าเรายังอยู่แค่นี้อีกหรอ ตัวเราก็เคยเป็น สมัยก่อนในโซเชียลนักวาดคนนี้คนนั้นได้ทำแบบนี้ เราไปรู้สึกกับมันว่าเเล้วตัวเราอยู่ตรงไหน เราก็เป็นคนวาดเหมือนกัน ทำไมมีคนมาชื่นชมเราน้อยจัง ทำให้เรารู้สึกท้อ แต่พอตอนนี้ที่เราได้โอกาสมา เราเลยไม่อยากคิดว่าเราประสบความสำเร็จ แต่จะคิดว่ามันเป็นโอกาสที่ทำให้เราได้ใช้ศักยภาพที่เรามีทำงานให้มันออกมาดีที่สุด เพราะเราก็ไม่รู้ว่าวันข้างหน้ามันอาจจะเงียบไม่มีอะไรเลยก็ได้ ตอนนี้เลยคิดว่าพาตัวเองมาอยู่ในจุดที่เรามีความสุขแล้ว เราไม่รู้สึกอิจฉาใครเเล้ว

ถ้าสมมติว่าตอนนี้ยังย่ำอยู่กับที่ไม่ได้โอกาสอะไรเลย เราจะหยุดหรือจะพยายามต่อ?

นิค : สำหรับตัวเรา เราจะเป็นคนแบบไม่อยู่นิ่ง ถ้าเราชอบอะไร เราจะไปอยู่ใกล้กับสิ่งนั้นให้ได้มากที่สุด อย่างตอนเรียนอยู่เราอยากทำละครพื้นบ้าน เราไม่มีเส้นสายไม่มีคนรู้จักไม่มีอะไรเลย เราก็ใช้ตัวเรานี่แหละเข้าไปขอฝึกงาน แต่เขาก็ไม่ได้ให้เข้าไปในส่วนที่อยากทำ ให้ไปทำอย่างอื่น แต่เราก็ตั้งใจว่าเราอยากจะทำให้ได้ พอเรียนจบมา เราก็เดินไปหาหัวหน้าแผนกแล้วขอเขาเลยว่า ผมขอทำงานตรงนี้ หรืออย่างตอนที่ออกแบบสติ๊กเกอร์ไลน์ เราก็ไม่ได้เป็นส่วนที่ทางบริษัทเห็น หรือว่าฉายเเววอะไรมาตั้งแต่เเรก แต่มันอาจจะเป็นด้วยเหตุบังเอิญอะไรก็ตามที่ทำให้เราได้เข้ามาอยู่ตรงนี้ แต่เราก็ต้องพยายามเกาะกลุ่มอยู่กับคนที่อยู่กับงานแนวนี้เพื่อรับข่าวสารอะไรให้ได้มากที่สุด ก็เหมือนกับเราพยายามขยับเข้าไปหาความสุขสิ่งที่เรารักดีกว่า คือเราไม่รู้ว่าโอกาสจะมาเมื่อไหร่ เราเลยต้องพยายามเข้าไปใกล้ที่ที่จะทำให้เราได้รับโอกาส บางทีเขาอาจจะไม่เห็นเราก็ได้ แต่เราก็ได้กลิ่นอ่ะ อยู่ใกล้ๆ เราก็มีความสุขแล้ว มักน้อยไม่ต้องเป็นที่หนึ่ง ไม่ต้องมีสปอร์ตไลท์ส่องมาก็ได้ แต่ขอในจุดนี้แหละอะไรแบบนี้ ส่วนตัวเราไม่ชอบเเข่ง เพราะรู้สึกว่าการแข่งขันมันมีคนแพ้ คนชนะ แล้วเรารู้สึกว่าถ้าเกิดเราเตรียมตัวไปแล้วเราไม่ชนะ เราก็จะเฟล เราจะติดการคาดหวัง ก็เลยไม่อยากแข่ง

ส่วนตัวเป็นคนรู้สึกแย่ รู้สึกท้อ ง่ายไหม?

นิค : เมื่อก่อนเนี่ยง่ายมาก นิดนึงนิดหน่อย เจอคอมเมนต์แบบแย่ๆ ร่างอวตารอะไรแบบนี้ก็เฟล มันจะมีตั้งแต่โดนดราม่าเรื่องที่เราวาดเจ้าหญิงดิสนีย์มาใส่ชุดไทย คือคนไทยเราก็แฮปปี้ แต่คนต่างชาติก็จะเอาไปเคลม มันกลายเป็นปัญหาระดับชาติ เราก็รู้สึกแย่ เพราะว่ามันเป็นการสร้างสรรค์ของเรานะ แต่ว่าพอผ่านพอโตขึ้นมามีวุฒิภาวะก็เลือกที่จะมองในส่วนที่เป็นมุมบวก เหมือนวางคอนเซปต์ชีวิตเราอ่ะว่า อยู่กับอะไรที่มันเป็นบวกจะดีที่สุด


แล้ววิธีการคิดมุมบวก ที่นำมาใช้จัดการกับความรู้สึกตัวเองเมื่อผิดหวัง เราทำอย่างไร

นิค : อันนี้มันจะมี 2 เวอร์ชั่น ถ้าเวอร์ชั่นเด็กเราจะงอแง ไม่เอาแล้ว ใบลาออกไม่เขียนออกมาเลย อันนี้แรงมาก แต่ว่าปัจจุบันนี้คือ ถ้าเจอกับความคาดหวัง ถ้ามันเกิดขึ้นมาแล้ว เราก็คิดก่อนว่ามันหวังอะไร ถ้าเป็นงานเป็นมาตรฐานที่จะต้องทำมันให้ดีที่สุดอ่ะ เราก็ต้องทำ ทำให้ลูกค้าเห็น แต่ถ้าหากเป็นงานสร้างสรรค์ของตัวเอง ถ้ามันไม่สวยเราก็พักไว้ก่อน แแล้วออกมาเดินเลยสูดอากาศ หาแรงบันดาลใจ ไปวัดพระแก้ว แบบไปดูอารมณ์ของคน ดูนักท่องเที่ยวว่าเขาสนใจอะไร เขาไปชอบอะไรตรงไหน เพราะว่าบางที่ความคิดของเรา กับมุมมองของคนอื่นมันไม่เหมือนกัน เราชอบอะไรที่เป็นลายไทย แต่นักท่องเที่ยวไปชอบตลาดน้ำ ชิพกับเดล อะไรแบบนี้

ถ้าเรามองในมุมของคนอื่นมากขึ้น ความคาดหวังมันก็น้อยลง ก็คือเราก็เลือกทำอย่างที่เราอยากทำ ใน100คน มันก็ไม่ใช่ 100 คนหมดที่จะชอบ เมื่อก่อนเราคิดว่าลูกเพจของเราพันคน จะต้องชอบทุกอย่างที่เราวาด แต่ตอนนี้คือเราก็วาดออกมาคนที่เห็นมันก็มีแบบ เป็นร้อยเป็นพัน ชอบไม่ชอยไม่เป้นไร มันมีคนที่ accept ผลงานเราไปแล้ว ที่มองเห็นที่ให้คุณค่ากับงานเรา มีคนที่ให้กำลังใจ เหมือนเป็นน้องๆที่ติดตาม บางทีเขาก็เอารูปไปวาด แล้วส่งมาให้ดูบอกหนูวาดตามแบบพี่ เราก็โอเคกับตรงนี้แล้ว แล้วยิ่งได้โอกาสทำงานเราก็ไม่ต้องพิสูจน์อะไรมาก เพราะว่ามีงานเข้ามาให้เราใช้ศักยภาพของตัวเอง อันนี้คือสิ่งที่เราทำแล้วเราสุขใจ


 
เหตุการณ์ไหนในชีวิตที่ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยน สอนให้เราเลือกที่จะมองแต่มุมบวกดีกว่าเรื่องมุมลบ?

นิค : เพราะว่าเเม่เป็นมะเร็งเต้านมปีที่แล้วนี้เอง มันเหมือนกันว่าเราทุกคนในครอบครัวช็อกกันหมดเลย พอรู้ว่าผลก้อนเนื้อที่ออกมามันไม่ดี เมื่อก่อนเราคิดแค่ว่าเป็นมะเร็งยังไงก็ต้องตาย เเม่เราจะตาย เราคิดเเค่นั้นเอง แต่ว่าพอมาตั้งสติดีๆ มาเจอหมอ คือเราต้องเป็นคนดูแลทุกอย่าง ตั้งแต่ตัวผู้ป่วยจนถึงค่าใช้จ่าย ทำให้เราเห็นอะไรมากขึ้น ได้ไปอยู่ในตำแหน่งที่พ่อกับแม่เคยอยู่ อย่างวันที่แม่ผ่าตัด เราเห็นพ่อนั่งใจลอยอยู่หน้าห้อง นี่ก็เลยรู้สึกว่ามันคือหน้าที่ของเรานะ ที่เราต้องดูแลทุกอย่าง ทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตมันยิ่งใหญ่กว่าการที่มานั่งไถฟีดดูว่าใครกดไลค์เราบ้าง มันมีอะไรให้เราทำมากกว่านั้นเยอะ

พอมันผ่านมาได้ รักษาให้คีโมอะไรเรียบร้อย เขาก็เห็นว่าศักยภาพของเราพร้อมแล้วแหละ เราโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว พอเรารู้สึกว่าโตแล้วทัศนคติของเรามันก็ไม่ได้เปลี่ยนไปหมดทีเดียวนะ มันเหมือนผ่านการขัดเกลาในช่วงเวลานั้น ทำให้เรารู้สึกว่าเรื่องบางเรื่องมันเป็นเเค่เรื่องเล็กๆ เราควรทำทุกวิถีทางให้ไม่เกิดปัญหาดีกว่า อย่างเรื่องของพ่อกับแม่สุดท้ายแล้วเขาก็แค่ต้องการกัลยาณมิตรที่ดี เรื่องของปัญหามีคอมเมนต์ที่มันไม่ดี เราก็รู้สึกว่าเราก็ไม่ได้รู้จักเขา เขาติงานเราไม่ได้มาเกลียดอะไรเรา เราก็เข้าข้างตัวเองไปสิว่าถ้าเขารู้จักเราเขาอาจจะชอบเราก็ได้ เราอาจจะเป็นเพื่อนมนุษย์ที่ดีต่อกันก็ได้

เอาล่ะ ช่วยให้กำลังใจสำหรับคนที่กำลังเจอปัญหา รู้สึกท้อในตอนนี้หน่อย?

นิค : ก็ต้องหาอะไรที่แบบทำเเล้วตัวเองมีความสุข ก็เหมือนกับว่าความสุขที่มันเกิดขึ้นอ่ะ มันจะทำให้เราอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อบนโลกใบนี้ สมมติว่าคุณเป็นคนอ้วนที่กำลังเฟลอยู่ แต่ว่าถ้าวันนี้คุณได้กินขนมหวานแล้วคุณจะมีความสุข วันนี้คุณต้องกินคุณอยากกินก็ไปกิน แล้วมาคิดด่านต่อไปว่าวันนี้ฉันได้กินในของที่ชอบแล้ว ฉันอาจจะลดน้ำหนัก พอฉันลดน้ำหนักแล้วฉันก็จะรู้ว่าอะไรที่ฉันอยากจจะทำ เราควรมองเรื่องใกล้ตัวไปก่อน อย่าเพิ่งไปมองไกลเกินไปแล้วคุณจะเหนื่อย ถ้าเกิดว่าเราอยากเข้าวงการ อยากเป็นนางเอกอ่ะมันยาก เราก็มองว่าถ้าเกิดเราได้ทำงานใกล้กับสิ่งที่ชอบ ได้ออกกองได้เจอคน ได้ใช้ความสามารถของเรา แล้วมันจะเกิดคุณค่าหมายหมายขึ้นมา ดีกว่าการที่ไปมองคนอื่นที่แบบอยู่ไกลเมื่อไหร่จะไปถึง จนเราไม่ได้ทำอะไรเลย แล้วมารู้ตัวอีกทีว่าแค่นี้เองเรา มันจะทำให้ความภาคภูมิใจของเรามันต่ำลง เราควรส่งเสริมตัวเราเอง


ขอคำนิยาม ที่สรุปความเป็นตัวเองหน่อย

นิค : ไหลไปตามความฝัน ถ้าเดินมันจะเหนื่อย ไหลไปเรื่อยๆ ดีกว่า มันอาจจะไม่ไกลมาก แต่มารู้ตัวอีกทีเราก็มีคุณค่าแล้ว

จากแนวคิดดีๆ ของ นิค จิโรจน์ เชื่อว่าหลายคนที่ได้อ่าน interview นี้ คงจะได้ข้อคิดเชิงบวกมุมมองของการเดินตามความฝัน และความกล้าที่จะเผชิญโลกแห่งความเป็นจริง ใครที่กำลังเจอทางตัน หรือรู้สึกท้อที่ยังไม่ได้ยังไม่สำเร็จในสิ่งที่ต้องการ ลองหยิบมุมมองที่เรานำมาให้คุณอ่านนี้ไปใช้ แล้วอาจจะมองเห็นแสงสว่างที่ว่า ความฝันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ไกลเกินเอื้อมเสมอไป หากเรารู้จักกำลังและความสามารถของตัวเองมากพอ บางทีสิ่งที่เราต้องการอาจจะง่ายกว่าที่คุณคิดก็ได้

สัมภาษณ์ : ชุดา ลิมป์กมลธรรม
ภาพ : ณัฐวรรธน์ เหมืองหม้อ
เรียบเรียง : เมรินทร์ บุญมาเลิศ

ดูเพิ่มเติมแสดงน้อยลง Bookmark