เผยผลวิจัย พฤติกรรมงดข้าวเช้า เสี่ยงต่ออาการอัมพฤกษ์ อัมพาต รวมทั้งโรคหัวใจ

คลิปที่เกี่ยวข้อง

เผยผลวิจัย พฤติกรรมงดข้าวเช้า เสี่ยงต่ออาการอัมพฤกษ์ อัมพาต รวมทั้งโรคหัวใจ


เตือนสำหรับคนที่ไม่ชอบกินข้าวเช้า ล่าสุดหมอธีระวัฒน์ เปิดผลงานวิจัยจากญี่ปุ่น ถ้าไม่กินอาหารเช้า อาจเสี่ยงต่อการเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต ทั้งจากเส้นเลือดแตก และตันในสมอง รวมทั้งโรคหัวใจ

โดยศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โพสต์เฟซบุ๊ก ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha ประเด็น งดข้าวเช้า..กลับตายเร็ว โดยระบุว่า

งดข้าวเช้า..กลับตายเร็ว
หมอดื้อ

​พูดกันมานานและฝังใจกันมาตลอดว่าอาหารเข้าเป็นมื้อสำคัญที่สุด ในแง่ของการคุมน้ำหนัก แจ่มใส ทนงาน ไม่ล้า และลดความเสื่ยงต่อการเกิดความดันสูง โรคหัวใจ ไขมันสูง เบาหวาน เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตาม หลักฐานเชิงประจักษ์ตัวเป็นๆ ที่จะแสดงให้เห็นคุณงามความดียังไม่เป็นที่ชัดเจน จวบจนกระทั่งมีรายงานหลักฐานจากการศึกษาที่ญี่ปุ่นตีพิมพ์ในวารสารโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke 2016) แสดงให้เห็นชัดว่า ถ้าไม่กินตอนเช้า จะเสี่ยงต่อการเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต ทั้งจากเส้นเลือดแตก และตันในสมอง รวมทั้งโรคหัวใจ

​การศึกษานี้ติดตามคนญี่ปุ่น 82,772 รายเป็นชาย 38,676 ราย และหญิง 44,096 ราย โดยมีอายุระหว่าง 45- 74 ปี ตามไปตั้งแต่ปี 1995 จนถึงปี 2010 โดยที่เริ่มแรกผู้เข้าร่วมการศึกษาไม่มีโรคหัวใจหรือมะเร็ง และจำแนกแจกแจงการกินอาหารเช้าจากกินอาทิตย์ละ 0-2, 3-4, 5-6 วัน และกินทุกวัน ทั้งนี้มีการประเมินปัจจัยต่างๆ ทั้งชนิดของอาหาร ปริมาณ ส่วนประกอบ และพฤติกรรมการดำเนินชีวิต เล่นกีฬา มีความเครียดระดับใด สูบบุหรี่ ดื่มแค่ไหน นอนหลับพักผ่อนเพียงพอหรือไม่ เป็นคนใช้แรงงาน และอยู่โดดเดี่ยวคนเดียวหรืออยู่เป็นครอบครัว และประเมินน้ำหนักตัว ดัชนีมวลกายรวม การเกิดความดันสูง เบาหวาน ระหว่างที่ติดตามการศึกษา ระดับไขมัน การใช้ยาความดัน ยาลดไขมัน ยาเบาหวาน และอื่นๆ

​เมื่อสิ้นสุดการศึกษาในปี 2010 รวมการติดตามทั้งหมดเป็น 1,050,030 คน-ปี จากประชากรศึกษา 82,772 ราย ทั้งนี้มีเพียง 7 % (5,839 ราย) ที่ติดตามได้ไม่ครบ 15 ปี พบว่ามีอุบัติการณ์ของโรคเส้นเลือดหัวใจ 4,642 โรคอัมพฤกษ์ 3,772 ราย (เส้นเลือดสมองแตก 1,051 ตกเลือดในเยื่อหุ้มสมอง 417 และเส้นเลือดตันในสมอง 2,286 ราย) และมี 870 รายที่เกิดเส้นเลือดหัวใจตีบและเสียชีวิตทันที ที่น่าสนใจคือ เป็นความจริงที่อาหารเช้ามีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงการเกิดโรค โดยถ้ากินบ่อยครั้งหรือทุกวันในหนึ่งอาทิตย์ กลับปลอดโรคมากขึ้น

​ทั้งนี้โดยที่เมื่อปรับเกณฑ์ต่างๆเข้าด้วยกันของ อาหาร น้ำหนัก ยาที่ใช้ โรคที่เป็น การออกกำลังกาย การสูบบุหรี่ ปริมาณผัก ผลไม้ ปลา เต้าหู้ นม ถั่ว ไขมันอิ่มตัว ปริมาณกากใย ไฟเบอร์ และแม้แต่ปริมาณเกลือโซเดียมก็ตาม ยังพบว่าการที่ไม่กินอาหารเช้าหรือยิ่งอดบ่อยกลับมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับความเสี่ยงของโรคทั้งหลายทั้งปวง กลไกที่เกี่ยวข้องอาจจะอธิบายจากการที่คนอดอาหารจะมีความดันขึ้นสูง โดยเฉพาะในช่วงเช้ามืดและเป็นเวลาเดียวกับที่เส้นเลือดสมองชอบแตก

ทั้งนี้จะเกี่ยวเนื่องจากความเครียด ที่ส่งผลจากสมองส่วนไฮโปธาลามัส (Hypothalamus) ลงมาต่อมใต้สมอง และลงมายังต่อมหมวกไตหรือไม่ อาจจะยังบอกไม่ได้ แต่ถ้าอธิบายจากระบบนี้จะมีสารสื่อสมองหลายตัว รวมทั้งฮอร์โมน สเตียรอยด์ด้วย ซึ่งส่งผลถึงความดันและเส้นเลือด

​การศึกษานี้น่าสนใจตรงที่เป็นคนเอเชียด้วยกันและอาจจะใกล้เคียงคล้ายคลึงบ้างกับคนไทย และที่น่าแปลกอีกประการคือ ในฝรั่ง ถ้าไม่กินข้าวเช้าดูจะเกิดหัวใจวายมากกว่าโรคทางสมองอย่างในคนญี่ปุ่น ทั้งนี้โดยที่เส้นเลือดแตกจะสูงกว่าเส้นเลือดสมองตีบด้วยซ้ำ

การศึกษานี้ได้รับทุนสนับสนุนจากกระทรวงสาธารณสุขของญี่ปุ่นดังนั้นคงไม่มีการโปรโมทใดๆที่เกี่ยวกับการค้า และไม่เกี่ยวข้องชัดเจนกับการกินอาหารสุขภาพชนิดใดๆ แม้ว่าถ้ากินผัก ผลไม้ กากใย ถั่ว เป็นหลักด้วย ผลประโยชน์น่าจะยิ่งมากขึ้น ร่วมกับการไม่อดมื้อเช้า

​คราวนี้คงพูดได้ อาหารเช้าสำคัญแค่ไหนและน่าจะเริ่มเป็นบรรทัดฐานของการมีชีวิต สุขภาพที่ไม่ได้เพ่งพิจารณาถึงชนิดและส่วนประกอบของอาหารว่าต้องเพิ่มปลา ผัก ผลไม้ กากใยแต่อย่างเดียว เพราะแม้แต่คนไม่ยอมอดข้าวเช้า และพลังงานที่กินเข้าไปเป็นจำนวนแคลอรี่ต่อวันมากกว่า แต่กลับหุ่นสวยได้สัดส่วน โดยที่มีแนวโน้มที่จะมีชีวิตเป็นสุข นอนหลับเต็มอิ่มระหว่าง 6-8 ชั่วโมง และถึงแม้จะมีความดัน ไขมันสูงก็สามารถคุมด้วยยาได้อย่างหมดจด

ทั้งนี้มีลักษณะสุขภาวะที่น่าสนใจอีกประการ คือ คนไม่อดข้าวเช้า ไม่ได้อยู่คนเดียว อยู่รวมเป็นครอบครัว และเป็นคนใช้แรงงานทำป่าไม้ จับปลา ทำการเกษตรเป็นส่วนมาก แม้ว่ากระบวนการทางสถิติจะปรับตัวแปรเหล่านี้ออก โดยชูการไม่อดข้าวเช้าเป็นประเด็นสำคัญของการไม่มีโรค แต่หมอคิดว่าการหล่อหลอมครอบครัวให้มีความสุขร่วมกัน และเริ่มวันใหม่ที่สดใส อาจเป็นหัวใจหลักครับ

BUGABOONEWS
ขอบคุณข้อมูลจากเพจ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha


ดูเพิ่มเติมแสดงน้อยลง Bookmark