เปิดปมเหตุ หนุ่มสาดน้ำกรดสาวร้านเสริมสวย [เจาะเกาะติด]

ประเด็นเด็ด 7 สี - เหตุชายสาดน้ำกรดอุกอาจ ที่ย่านดอนเมือง ล่าสุดผู้ก่อเหตุมอบตัวแล้ว ที่ สภ.ปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งตำรวจนำตัวกลับมาดำเนินคดี ที่ สน.ดอนเมือง พื้นที่เกิดเหตุ ส่วนสาเหตุชายคนนี้ อ้างว่า ทำไปเพราะหึงหวง และพยายามขอคืนดีทั้งที่ถูกนอกใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไปติดตามกับรายงาน

นายสมประสงค์ อายุ 31 ปี ชายผู้ก่อเหตุสาดน้ำกรด ใส่หญิงสาวอายุ 25 ปี ลูกจ้างร้านเสริมสวยแห่งหนึ่งย่านดอนเมือง เข้มอบตัวกับตำรวจ สภ.ปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา หลังนอนทนรับแรงกดดันได้ไม่ทันข้ามวัน โดยเขาสารภาพว่าเป็นคนก่อเหตุทั้งหมด เพราะแรงหึงหวง ก่อนจะถูกนำตัวไป สน.ดอนเมืองพื้นที่ต้นเรื่อง

เขาอ้างว่า ที่ผ่านมายอมรับลูกติดสามีเก่า 1 คน ของภรรยา มาเป็นลูกของเขาจากที่ จังหวัดภูเก็ต จากนั้นจึงมีลูกด้วยกันอีก 3 คน และตั้งใจจะปักหลักปักฐานกันที่กรุงเทพมหานครแม้ไม่ได้จดทะเบียนสมรส โดยส่งลูกทั้ง 4 คน มาให้ปู่กับย่าเลี้ยงที่จังหวัดนครราชสีมา แต่สุดท้ายสาวเจ้าก็มีคนอื่นซ้ำอีก จนมีลูกอีก 1 คน อายุ ราว 1 เดือน ที่เพิ่งคลอดได้ไม่นาน ซึ่งก็ต้องฝากให้คนอื่นเลี้ยงแทนเหมือนกัน และนายสมประสงค์ ก็มีความพยายามจะง้อขอคืนดีแม้เธอจะมีลูกกับคนใหม่แล้วก็ตาม

น้ำกรดที่สาดไปจากแรงพิศวาส ไม่ได้ทำร้ายเพียงภรรยา แต่ขณะก่อเหตุ น้ำกรดกระเด็นถูกลูกชาย ทำให้ใบหน้าซีกขวา และร่างกายฝั่งขวา มีรอยด่างจากการถูกกัดกร่อนของน้ำกรดที่ใช้ ทั้งที่ตั้งใจเอาไปเป็นพยานรักเพื่อให้เธอเห็นแก่ลูกและกลับมาคืนดี แต่ท่าที่ตัดรอนความสัมพันธ์ที่มีมาตลอด 7 ปี นี่จึงเป็นชนวนสำคัญที่ทำให้เกิดเหตุบานปลาย

แม้จะบอกว่า รู้สึกตกใจ แต่คนเป็นแม่ ก็ต้องเกลี้ยกล่อมลูก ไม่ให้เตลิดไปมากกว่านี้ ซึ่งปัญหาคาใจคือที่ผ่านมาฝ่ายหญิงไม่เคยส่งเสียเลี้ยงดูลูกทั้ง 4 คน ตัวเองต้องเสียสละมาดูแลเด็กๆ ขณะที่คุณปู่ต้องทำงานเก็บของเก่าเลี้ยงดู 6 ชีวิต หากไปต่อไม่ไหว มูลนิธิน่าจะเป็นคำตอบของเรื่องนี้

ประเด็นนี้สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครราชสีมา ไม่ได้นิ่งนอนใจ เพราะเตรียมลงพื้นที่ สำรวจความเป็นอยู่ของครอบครัวนี้ที่นครราชสีมาทันที และหากพบว่า ครอบครัวไม่มีศักยภาพดูแลเด็ก ๆ ก็จะยื่นมาลงไปช่วยเหลือ

แม้จะอ้างด้วยเหตุผลแห่งความรักใดหรือจะถูกทรยศจากความรักอย่างไร ก็คงไม่ใช่เหตุผลที่จะนำไปใช้เพื่อทำร้ายร่างกายใคร เพราะสุดท้ายเมื่อกฎหมายทำงาน แน่นอนว่าคนเดือดร้อน ย่อมไม่ใช่คนคนเดียวหากเขายังมีครอบครัว หรือแม้แต่ลูกหลานของเขาเอง