ดรามาเดือดค่าไฟฟ้าแพง หลังปรับขึ้นค่า FT

ข่าวสังคม 20 กันยายน 2565 - สนามข่าว 7 สี - เกิดกระแสดรามา หลังจากที่มีการปรับอัตราค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ หรือ FT ทำให้ค่าไฟในรอบเดือนกันยายนที่ผ่านมามีตัวเลขที่สูงขึ้น จนประชาชนต่างออกมาแสดงความเห็นและติดแฮชแท็กค่าไฟแพง ในโซเชียลมีเดีย

หลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. มีมติขึ้นอัตราค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ หรือ FT ส่งผลให้ค่าไฟรอบเดือนกันยายนถึงธันวาคม 2565 อยู่ที่ 93.43 สตางค์ต่อหน่วย และเมื่อนำมารวมกับค่าไฟฟ้าฐานประมาณ 3.79 บาทต่อหน่วย จะส่งผลให้อัตราค่าไฟฟ้าที่ประชาชนต้องจ่ายอยู่ที่ 4.72 บาทต่อหน่วย เพิ่มขึ้นจากงวดเดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคม 2565 ที่ประชาชนจ่าย 4 บาทต่อหน่วย

จนทำให้เกิดประเด็นดรามาในโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับตัวเลขค่าไฟฟ้าและค่า FT ที่ปรับสูงขึ้นจนเกิดแฮชแท็ก #ค่าไฟแพง ซึ่งประชาชนต่างออกมาโพสต์แชร์บิลค่าไฟฟ้าที่ตัวเลขเพิ่มสูงขึ้น พร้อมระบุข้อความเช่น ใช้ไฟเท่าเดิม แต่จ่ายแพงขึ้น ค่าไฟแพงแบบกระโดด ทำงานเก็บเงินเพื่อมาจ่ายค่าไฟ ค่า FT โหดมาก เดือนนี้ใช้น้อยกว่า เดือนที่แล้ว แต่ค่าไฟแพงกว่า เราจะอยู่กันแบบนี้หรอ ทำอะไรได้บ้าง เดือนนี้ค่า FT ขึ้น ขึ้นแบบมหาโหดมาก เดือนที่แล้วจ่ายแค่ 200 กว่าบาทเอง มาเดือนนี้ แล้วก็หักVatต่ออีก กระเป๋าซ้ายจ่ายน้ำมัน กระเป๋าขวาจ่ายค่าไฟ ตายสิคนไทยแบบนี้

โดยทางกกพ.ได้ออกมาทำรีวิวค่าไฟฟ้าเฉลี่ยว่าการผันผวนของราคาไม่แตกต่างกันมาก ขณะเดียวกันก็ระบุถึงการขึ้นค่า FT ในช่วงปี 2565 ถึง 2566 ว่าสาเหตุมาจากสัดส่วนการใช้ก๊าซธรรมชาติเหลวในตลาดจร (Spot LNG) ที่เพิ่มสูงขึ้น เพื่อทดแทนก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยและพม่าที่ปริมาณลดลงอย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้งความผันผวน ซึ่งมาจาก 4 เหตุผล ได้แก่ 1.ปริมาณก๊าซในประเทศที่ลดลง จากเดิมสามารถจ่ายก๊าซได้ 2,800-3,100 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ลดลงเหลือราว 2,100 - 2,500 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ทำให้ต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลวมาเสริมหรือเดินเครื่องโรงไฟฟ้าด้วยน้ำมัน เพื่อทดแทนปริมาณก๊าซที่ขาดแต่ในช่วงสงครามรัสเซีย-ยูเครน 2.การผลิตก๊าซจากพม่า ที่ไม่สามารถผลิตได้ตามกำลังการผลิตเดิม และมีแนวโน้มที่จะลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงปลายปี 2565 และต้นปี 2566 ซึ่งอาจทำให้มีความต้องการนำเข้า LNG มากกว่าที่ประมาณการไว้เดิม 3. สถานการณ์ผู้ผลิต LNG ชะลอการลงทุน อันเนื่องมาจากมีความต้องการใช้พลังงานน้อยในช่วงโควิด-19 ในปลายปี 2564 หลังจากที่หลายประเทศเริ่มฟื้นตัวจากโควิด ทำให้ความต้องการใช้ LNG มีมากกว่ากำลังการผลิตในตลาดโลก ส่งผลกระทบต่อราคาและการเจรจาสัญญาซื้อขาย LNG โดยเริ่มมาตั้งแต่ปลายปี 2564 และต่อเนื่องตลอดปี 2565 ซึ่งคาดว่าจะต่อเนื่องไปในปี 2566 และ 4. สภาวะสงครามรัสเซีย - ยูเครน ทำให้รัสเซียลดหรือตัดการจ่ายก๊าซธรรมชาติทางท่อไปยังยุโรป ส่งผลให้ความต้องการ LNG เพิ่มขึ้นอย่างมากในยุโรป และส่งผลกระทบทางอ้อมต่อราคา LNG ในตลาดเอเชีย