อดีตสำนักข่าวต่างประเทศ และผู้สื่อข่าวอาวุโสไทย แสดงความคิดเห็นกรณี CNN
เช้านี้ที่หมอชิต - อดีตผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ชี้ CNN ไร้จรรยาบรรณสื่อ ควรต้องออกมาแถลงการณ์ขอโทษอย่างจริงใจ ขณะที่ผู้สื่อข่าวอาวุโสไทย หวังเป็นบทเรียนของการรายงานข่าวเหตุอาชญากรรม
นาย สุทิน วรรณบวร อดีตผู้สื่อข่าวอาวุโส ผู้คร่ำหวอดในวงการสื่อมวลชน มีประสบการณ์การทำงานกับสำนักข่าวต่างประเทศมาอย่างยาวนานกว่า 33 ปี เคยร่วมงานกับ UPI รอยเตอร์ส และ AP ซึ่งส่วนใหญ่จะดูแลรับผิดชอบในแถบเอเชียเป็นหลัก ได้ให้ความเห็นผ่านทีมข่าว 7HD ถึงเรื่องนี้ไว้อย่างดุเดือด
โดยนาย สุทิน กล่าวไว้ว่า ในฐานะที่ตนเคยเป็นผู้สื่อข่าวให้กับสำนักข่าวในต่างประเทศ มองว่า 2 คนนี้ ไม่ใช่ผู้สื่อข่าวประจำของ CNN แต่อาจจะเป็นสตริงเกอร์ที่ว่าจ้างให้มาทำงาน เนื่องจาก ไม่มีความเข้าใจถึงจรรยาบรรณจริยธรรม ในการปฎิบัติงานนำเสนอข่าว ต่อเหตุการณ์ที่เป็นอาชญากรรมร้ายแรง สะเทือนขวัญแบบนี้ ส่วนใหญ่แล้ว สำนักข่าวต่างประเทศ มักจะมีการอบรมผู้สื่อข่าว รวมถึงวางกรอบการทำงานไว้อย่างชัดเจนอยู่แล้ว ว่าจะต้องไม่มีภาพที่สลดใจ หลุดรอดออกไปสู่สังคมให้กระทบจิตใจญาติและครอบครัวของผู้เสียหาย หรือกระทำการใดก็ตาม ที่ยุ่งเหยิงต่อพยานหลักฐานในสถานที่เกิดเหตุ
การที่ผู้สื่อข่าว CNN ตามที่ปรากฎเป็นข่าว ที่มีการอ้างว่า ไม่เห็นแนวกั้น และมีการขออนุญาตเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เป็นข้ออ้างที่ไม่มีเหตุผลมารองรับ แสดงถึงความไม่มืออาชีพ ควรที่จะออกแถลงการณ์ขอโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างจริงใจ จะด้วยเหตุผลว่าสื่อสารไม่เข้าใจหรืออย่างไรก็ตามแต่ เพราะคนที่เข้าไปได้มีเพียงแค่ เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานกับตำรวจเท่านั้น
ขณะเดียวกัน นายสุทธิชัย หยุ่น คนข่าวระดับตำนานของประเทศไทย ได้ไลฟ์ผ่านทวิตเตอร์แอคเคาท์ของตนเอง ให้ความเห็นว่า สื่อต่าง ๆ อาจจะไม่คุ้นเคยกับการทำข่าวลักษณะที่มีผู้สูญเสียที่เป็นเยาวชน วิธีการตั้งคำถามแบบซ้ำเติมความรู้สึกผู้สูญเสีย เป็นสิ่งที่ไม่มีความเป็นมืออาชีพไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง ทุกวันนี้สื่อที่ประชาชนยอมรับจะต้องมีจริยธรรม มีหลักปฎิบัติงานที่ชัดเจน การรายงานข่าวที่มีความสูญเสียเศร้าสลด เป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่จะต้องมีการสอน ไม่จำเป็นจะต้องเห็นภาพที่ซ้ำเติมกระทบต่อจิตใจ เพียงแค่เก็บรายละเอียดที่สำคัญมาถ่ายทอดอย่างตรงไปตรงมา และไม่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลก็เพียงพอ นี่คือสิ่งที่สื่อมวลชนจะต้องเรียนรู้
ขอบคุณภาพจาก : Twitter Suthichai
