คอลัมน์หมายเลข 7 : ส่องมาตรการใช้บัตรเครดิต-เดบิตฝากเงิน แก้ปัญหาฟอกเงินได้ ?

ข่าวภาคค่ำ - คอลัมน์หมายเลข 7 ตามต่อกับนโยบายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ที่กลางเดือนพฤศจิกายนนี้การฝากเงินผ่านเครื่องอัตโนมัติ จะต้องใช้บัตรเดบิต, เอทีเอ็ม หรือ บัตรเครดิต มายืนยันตัวตน แต่มาตรการนี้กลับมีข้อท้วงติงเป็นวงกว้างว่าจะแก้ปัญหาได้จริงหรือไม่ ติดตามกับ คุณสุธาทิพย์ ผาสุข

เป็นเสียงสะท้อนเกิดขึ้นหลังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. มีข้อชี้แจ้งถึงธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 17 ตุลาคมที่ผ่านมา ถึงการให้ปรับขั้นตอนฝากเงินผ่านเครื่องอัตโนมัติของธนาคาร โดยประชาชน หรือ ผู้ใช้บริการ ต้องใช้บัตรเดบิต บัตรเอทีเอ็ม หรือ บัตรเครดิต ยืนยันตัวตนทุกครั้ง เริ่มใช้มาตรการนี้ 15 พฤศจิกายน 2565 เพื่อป้องกัน และปราบปรามการฟอกเงิน จนเกิดการท้วงติงนโยบายนี้ว่าอาจเกาไม่ถูกที่คัน

เนื่องจากปัจจุบันประชาชนหันไปทำธุรกรรมผ่านโลกออนไลน์เพิ่มขึ้น พิจารณาเทียบเคียงได้จากพฤติกรรมการใช้โมบาย หรือ อินเตอร์เน็ต แบงก์กิงปีที่ผ่านมา มีอยู่ถึง 123.2 ล้านบัญชี ปริมาณทำธุรกรรม 15.3 พันล้านรายการ คิดเป็นมูลค่ากว่า 86.4 ล้านล้านบาท ส่วนการใช้บริการพร้อมเพย์ จากยอดลงทะเบียน 68.6 ล้านหลายเลข เกิดการทำธุรกรรมเฉลี่ยต่อวันนึง 36.2 ล้านรายการ คิดเป็นมูลค่า 112.6 พันล้านบาท ซึ่งทั้งหมดเพิ่มขึ้นจากปี 2563

นอกจากข้อสังเกต "เกาไม่ถูกที่คัน" ปมร้อนยังทำให้ ปปง. นั่งไม่ติด ออกแถลงการณ์สยบความกังวลผู้ใช้บริการที่ต้องมีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มจากบัตรของธนาคารที่ถือในมือ ใจความสำคัญย้ำถึงความจำเป็นของมาตรการ ที่ขณะนี้เป็นทางเลือก และจะออกเป็นแนวปฏิบัติที่ชัดเจนเมื่อสถาบันการเงินพร้อม

จากที่ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่รัฐ ติดตามบุคคล ผู้ทำธุรกรรมไม่ได้ นำไปสู่การบังคับใช้กฎหมายไม่เต็มประสิทธิภาพ แต่ข้อชี้แจงนี้ นำไปสู่ข้อสังเกตพร้อมคำถามมาตรการปราบปรามการฟอกเงินมีหลากวิธี แต่เหตุใดถึงไม่นำใช้ทั้งที่มาตรการล่าสุดยังแก้ไม่ตกกับค่าใช้จ่ายของผู้ใช้บริการที่จะมีเพิ่มขึ้น

นับจากนี้คงต้องจับตาการออกมาตรการเพิ่มเติม สำหรับการแก้ปัญหาการฟอกเงินว่าปลายทางวันที่ 15 พฤศจิกายนนี้ เครื่องฝากเงินสดอัตโนมัติจะยังยืนหลักการเดิม หรือ ปรับวิธีการดำเนินการที่เกิดผลดีต่อทั้งฝั่งเจ้าหน้าที่รัฐ และประชาชนที่ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มจากมาตรการปราบโจรฟอกเงิน