ข่าวในหมวด เช้านี้ที่หมอชิต

รวบเพิ่มอีก 1 อุ้มนักธุรกิจชาวจีนไปตัดนิ้ว-เรียกค่าไถ่

เช้านี้ที่หมอชิต - เมื่อวานนี้ตำรวจบุกรวบผู้ต้องหา ในคดีอุ้มนักธุรกิจจีนไปตัดนิ้ว-เรียกค่าไถ่ ได้เพิ่มอีก 1 คน แต่ยังให้การปฏิเสธ ขณะที่ตำรวจเชื่อคนร้ายกับผู้เสียหายรู้จักกันดี แต่เกิดขัดแย้งกันเรื่องธุรกิจสีเทา จึงก่อเหตุอุ้มอีกฝ่ายเรียกค่าไถ่

ตำรวจหลายหน่วยสนธิกำลังกันบุกเข้าจับกุม นายถัง 1 ในสมาชิกแก๊งมังกรจีน ผู้ที่ทำหน้าที่อุ้มนักธุรกิจชาติเดียวกันไปตัดนิ้วเรียกค่าไถ่ ที่วิลลาหรูแห่งหนึ่งในเมืองพัทยา ได้คาโรงแรมย่านเอกมัย ในกรุงเทพมหานคร ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากจุดแรกที่จับกุมนายต้าเต้า หัวหน้าแก๊งได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา

การสอบสวนเบื้องต้น นายถัง ให้การปฏิเสธเช่นเดียวกับ นายต้าเต้า หัวหน้าแก๊ง ว่าไม่มีส่วนรู้เห็นกับการอุ้มนักธุรกิจชาติเดียวกันไปเรียกค่าไถ่ เมื่อวันที่ 29 ตุลาคมที่ผ่านมา ตำรวจจึงได้ควบคุมตัวไปสอบสวนต่อที่ สภ.เมืองพัทยา เพื่อขยายผลตามล่าตัวคนร้าย ที่ยังเหลืออยู่ว่ามีอีกกี่คน ขณะที่ นายต้าเต้า ถูกควบคุมตัวไปฝากขัง โดยตำรวจได้ยื่นคัดค้านการประกันตัว ส่วนนายเหริน ผู้เสียหาย ให้การว่า นายต้าเต้า เป็นคนลงมือตัดนิ้วและกินนิ้วที่ตัดเข้าไป เหมือนคนมีปัญหาสภาพจิต

และเมื่อย้อนไปดูประวัติการเดินทางเข้ามาของ นายต้าเต้า พบว่า เข้ามาเคลื่อนไหวในประเทศไทยครั้งแรกเมื่อปี 2562 ครั้งนั้นเดินทางเข้ามาผ่านช่องทางท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยมาอยู่เพียง 5 วัน และกลับมาอีกครั้งในช่องทางเดิม เมื่อช่วงเดือนเมษายน 2564

พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า ทั้งสองกลุ่มรู้จักกัน เกินกว่าจะเป็นคนร้ายกับผู้เสียหายในคดีอุ้มเรียกค่าไถ่ทั่วไป เพราะจากพฤติกรรมช่วงวันเกิดเหตุ ชี้ให้เห็นว่าทั้งคู่น่าจะมีความสนิทสนมกัน ถึงขั้นชักชวนกันออกไปเที่ยว และเมื่อลงลึกไปในข้อมูล พบว่าทั้งคู่น่าจะทำธุรกิจร่วมกันในประเทศเพื่อนบ้าน ลักษณะของคอลเซ็นเตอร์และน่าจะมีการหักหลังเรื่องผลประโยชน์ จึงได้ตามมาอุ้มไปเคลียร์ปัญหาที่เกิดขึ้น

ขณะที่ทีมพนักงานสืบสวนในคดีนี้ เปิดเผยว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าคนร้ายที่ลงมืออุ้มนักธุรกิจชาวจีนไปเรียกค่าไถ่ มีจำนวนกี่คนกันแน่ เพราะคำให้การของผู้เสียหายยังย้อนแย้งกับหลักฐานที่มีอยู่ แต่ก็เชื่อมั่นว่าจะสามารถดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องได้ทั้งหมด โดยเฉพาะคนที่ลงมือ

เมื่อวานนี้ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เรียก ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดอุดรธานี และจังหวัดแพร่ รวมทั้งตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เข้ามาชี้แจงข้อมูลการเดินทางเข้าออกประเทศ รวมถึงการขอวีซา ซึ่งพบว่ามีความผิดปกติในหลายจุด โดยเฉพาะการใช้เอกสารอ้างอิงเรื่องการลงทุนและการเรียน พร้อมกำชับให้กลับไปตรวจสอบหลักฐานการเซ็นอนุมัติ และเซ็นรับรองการตั้งสถานศึกษาสำหรับเปิดรับชาวต่างชาติ ว่ามีใครเกี่ยวข้องบ้าง

นอกจากนี้ ยังส่งทีมสืบสวนตำรวจภูธรภาค 4 ลงพื้นที่ไปตรวจสอบบ้านหลังหนึ่งในอำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ซึ่งพบว่าเป็นบ้านที่ถูกใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงว่าเป็นสถานศึกษา และบ้านพักของชาวจีนกลุ่มหนึ่ง แต่เมื่อไปตรวจสอบกลับพบว่า เป็นบ้านพักที่ถูกปล่อยทิ้งร้างมากว่า 1 ปีแล้ว ซึ่งชาวบ้านที่อยู่ในละแวกนั้นเล่าว่า ก่อนหน้านี้มีการติดป้ายให้เช่า หลังจากไม่มีผู้เช่ามานาน ทั้งนี้ก่อนหน้านี้ บ้านหลังดังกล่าวเคยถูกระบุว่าเป็นโรงเรียนสอนภาษา แต่มีคนเดินเข้าออกไม่มากนัก

ดูเพิ่มเติมแสดงน้อยลง Bookmark