งามไส้ ตำรวจเมาซิ่งรถชนเสาไฟฟ้าหักโค่น จ.อุดรธานี

เช้านี้ที่หมอชิต - สุดจัดปลัดบอก เมื่อผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ หรือผู้ควบคุมกฎหมายกลับกระทำผิดซะเอง แถมเอะอะโวยวายไม่ยอมตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ สุดท้ายจะรอด หรือจะร่วง ต้องรอดูให้ดี

เฟซบุ๊กเพจ อยากดังเดี๋ยวจัดให้ รีเทริน์ part 5.2 โพสต์ข้อความ เมาแล้วขับ = ฆาตกร ยิ่งเป็น เจ้าหน้าที่รัฐควรเข้มข้มในเรื่องความประพฤติระเบียบวินัย วันที่ 5 ธันวาคม 2565 เวลา 19.00น. #ตำรวจขับรถชนเสาไฟฟ้า ตรวจพบภายในรถมีขวดเหล้าขาวตกอยู่ภายในรถ ยื่นเงินให้นักข่าวก่อนถูกนักข่าวปฏิเสธ ร้อยตำรวจโท ปธานิน เพชรตะกั่ว รอง สว. (สอบสวน) สภ.เมืองอุดรธานี ไม่ยอมตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ตรงจุดเกิดเหตุ อ้างว่าจะนำตัวผู้ขับขี่ ซึ่งเป็นตำรวจไปตรวจวัดแอลกอฮอล์ที่โรงพัก ซ้ำบันทึกประจำวันยังไม่มีการลงปริมาณแอลกอฮอล์ หลังจากนั้นมีคนในโลกสังคมออนไลน์เข้ามาแสดงความคิดเห็นอย่างต่อเนื่อง อาทิ เคสนี้ปลดสถานเดียว และแบบนี้ต้องไล่ออก เป็นต้น

ต่อมา (6 ธ.ค.) ทีมสนามข่าว 7 สี ลงพื้นที่บริเวณจุดเกิดเหตุ ซึ่งเป็นจุดกลับรถ สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดอุดรธานีแห่งที่ 2 ถนนเลี่ยงเมือง ตำบลเชียงพิณ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี พบป้ายบอกทางหล่นอยู่กับพื้น และเสาไฟฟ้าบริเวณเกาะกลางถนนถูกชนหัก 1 ต้น รวมทั้งเศษซากความเสียหายยังคงกระจัดกระจายเต็มพื้น

ร้อยตำรวจโท ศักดิ์สิทธิ์ จินดาวัน รองสารวัตรปราบปราม สภ.เมืองอุดรธานี บอกว่า ก่อนหน้านี้ได้รับแจ้งว่ามีรถยนต์คันหนึ่งเปิดไฟสูงและขับรถส่ายไปมา ก่อนจะพุ่งชนเสาไฟฟ้าเกาะกลางถนนจนได้รับความเสียหาย แถมคนขับรถได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย เมื่อไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบร้อยตำรวจเอก จิระศักดิ์ อุดตะกะ อายุ 42 ปี รองสารวัตรสอบสวน สภ.พรเจริญ จังหวัดบึงกาฬ ยืนอยู่ข้างรถ สภาพคล้ายมึนเมา พูดจาไม่รู้เรื่อง จึงไปกั้นรถ เพื่อป้องกันเกิดเหตุการณ์ซ้ำซ้อน หลังจากนั้นพนักงานสอบสวนได้เชิญผู้ก่อเหตุไปตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ แต่กลับถูกปฏิเสธ

ทั้งนี้ พันตำรวจเอก จามร อันดี ผู้กำกับการ สภ.เมืองอุดรธานี เปิดเผยว่า สำหรับกรณีที่เกิดขึ้นมีรถตู้ที่ขับตามหลังมาได้รับความเสียหาย และสิ่งของราชการเสียหายหายรายการ จึงแบ่งเป็น 2 คดี คือ กรณีเสาไฟฟ้าและป้ายบอกทาง แขวงทางหลวงอุดรธานีเป็นผู้เสียหาย ส่วนกรณีรถตู้ เจ้าของรถคือผู้เสียหาย เบื้องต้นผู้ก่อเหตุยินยอมที่จะรับผิดชอบค่าเสียหายทั้งหมด จึงแจ้งข้อกล่าวหา ขับรถในขณะมึนเมาสุรา และรายงานไปยังต้นสังกัดของผู้ก่อเหตุ ก่อนนำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย