ข่าวในหมวด ข่าว 7 สี

ไม่พบ อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัย หมิ่นเบื้องสูง

เจาะประเด็นข่าว 7HD - ตำรวจไซเบอร์ ยังไม่พบอดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยที่เรี่ยไรบริจาคทำพิธีต่อดวงชะตาฯ เข้าข่ายหมิ่นสถาบันเบื้องสูง เบื้องต้นสอบปากคำแล้วให้การภาคเสธ อ้างมีเจตนาดี ที่สำคัญขณะนี้ยังไม่พบผู้บริจาคร่วมทำพิธีฯ ติดต่อขอคืนเงินหรือแจ้งความดำเนินคดี

หลังจากที่ตำรวจกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ บช.สอท. หรือ ตำรวจไซเบอร์ นำกำลังเข้าจับกุมตัวนายสุวินัย อายุ 66 ปี อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ที่บ้านพักในซอยพัฒนาการ 44 แขวงและเขตสวนหลวง กรุงเทพฯ เพราะไปแอบอ้างเบื้องสูง เพื่อเปิดบัญชีรับบริจาคเงินทำพิธีบายศรีขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนเฟซบุ๊ก เมื่อช่วงเย็นวานนี้

พลตำรวจตรี วิวัฒน์ คำชำนาญ รองผู้บัญชาการตำรวจไซเบอร์ เปิดเผยความคืบหน้าคดีว่า เบื้องต้นได้แจ้งข้อหา 3 ข้อหา คือ ความผิดตาม พ.ร.บ.เรี่ยไร, นำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และข้อหาฉ้อโกงประชาชน ซึ่งผู้ต้องหาให้การรู้เรื่อง ไม่ได้มีอาการของบุคคลที่มีความผิดปกติทางจิต ไม่มีประวัติเข้ารับการรักษาเกี่ยวกับอาการทางจิตใด ๆ และไม่เคยถูกดำเนินคดีใด ๆ มาก่อน โดยข้อหาฉ้อโกงประชาชนผู้ต้องหาให้การปฎิเสธว่า การรับบริจาคดังกล่าว เพื่อนำไปประกอบพิธีต่อดวงชะตาฯ ซึ่งทั้งหมดเป็นความเชื่อส่วนบุคคลที่ตนเองมีความรู้และศึกษามา ซึ่งเงินที่ได้ก็นำไปประกอบพิธีตามที่เชิญชวนบริจาค ไม่ได้ทำผิดวัตถุประสงค์ เงินทั้งหมดจะมีการจัดสรรไปประกอบพิธีกรรมในพื้นที่ต่าง ๆ ให้ครบตามจำนวน และจะเตรียมปิดรับการบริจาค แต่ก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาควบคุมตัวเสียก่อน

ซึ่งจากการตรวจสอบเส้นทางการเงิน พบว่าเงินรับบริจาค จำนวน 700,000 บาท มีการโอนไปยังสำนักพิธีกรรมของผู้ต้องหา 300,000 บาท และเมื่อติดตามไปตรวจสอบยังที่อยู่ของบัญชีก็พบว่า เป็นสำนักพิธีกรรมที่อยู่ในจังหวัดนครราชสีมา และเริ่มมีการสั่งของเข้ามาเพื่อประกอบพิธีแล้ว 

ทั้งนี้จากการตรวจสอบล่าสุดวันนี้ ยังไม่มีผู้บริจาค หรือ ผู้เสียหายรายใด ติดต่อขอเงินคืน หรือ ประสงค์จะเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับบุคคลดังกล่าว ทั้งนี้หากผู้บริจาครายใดรู้สึกไม่สบายใจและต้องการขอเงินคืน หรือ ประสงค์จะแจ้งความดำเนินคดี สามารถติดต่อได้ที่สายด่วนตำรวจไซเบอร์ 1441

ส่วนความผิดตามมาตรา 112 หรือ หมิ่นสถาบันเบื้องสูง จากการสอบปากคำและการตรวจสอบพฤติการณ์ พบว่ายังไม่เข้าข่ายผิด เนื่องจากไม่ได้มีเจตนาไม่ดี แอบอ้าง และไม่ได้เป็นการอาฆาตมาดร้าย จึงยังไม่เข้าข่ายความผิดในข้อหาดังกล่าว ตำรวจจึงได้ให้ผู้ต้องหาประกันตัวไป ก่อนจะนัดหมายมาอีกครั้งเพื่อนส่งฟ้อง

สำหรับเรื่องการเปิดรับบริจาคที่เกี่ยวข้องกับอาการพระประชวรฯ พลตำรวจตรี วิวัฒน์ เตือนให้ประชาชนระมัดระวังให้มาก เพราะอาจมีมิจฉาชีพที่ใช้เรื่องดังกล่าวมาแอบอ้างขอรับบริจาค ควรตรวจสอบข้อมูลของบุคคลและหน่วยงานที่รับบริจาค หรือ วัตถุประสงค์ของการบริจาค หากดูแล้วไม่น่าเชื่อถือ  หรือ ไม่ได้เป็นการบริจาคไปยังมูลนิธิ หรือ องค์กรที่เกี่ยวข้อง ไม่ควรโอนเงินร่วมบริจาคไปเด็ดขาด เพราะอาจทำให้สูญเสียทรัพย์สินได้

ดูเพิ่มเติมแสดงน้อยลง Bookmark