คอลัมน์หมายเลข 7 : เปิดศักราชใหม่ กับโจทย์ใหญ่ แก้ทุจริตในภาครัฐ

ข่าวภาคค่ำ - เปิดศักราชใหม่แต่การแก้ปัญหาทุจริต คอร์รัปชัน นอกจากดูเหมือนย่ำอยู่กับที่แล้ว ยังมีสิ่งท้าทายจำนวนมาก ที่ภาครัฐต้องเร่งกวาดบ้าน มีอะไรให้ติดตาม มีเรื่องไหนที่ต้องทำเพิ่ม ไปหาคำตอบในคอลัมน์หมายเลข 7 กับคุณสมจิตต์ นวเครือสุนทร

หรือสังคมไทย จะพ่ายแพ้ให้กับการทุจริต เป็นคำถามตัวโต ๆ ที่เราต้องร่วมกันหาคำตอบ เพราะภาพที่เห็น ไม่ว่าจะเป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ เข้าไปมีเอี่ยวเรียกรับผลประโยชน์ แลกกับการปล่อยรถหรูผับจินหลิง ไปจนถึงเคสล่าสุด สะเทือนกรมอุทยานแห่งชาติฯ เมื่ออธิบดีฯ ถูกกล่าวหาเรียกรับส่วย พบของกลาง กลางห้องทำงานเป็นเงินสดเกือบห้าล้านบาท และยังมีเสียงสนทนาที่ชี้ให้เห็นถึงการเรียกรับผลประโยชน์ เป็นหลักฐานมัด แม้เจ้าตัวจะยังให้การปฏิเสธก็ตาม

ข้อกล่าวหาทุจริต เรียกรับผลประโยชน์ พร้อมรายละเอียดการเรียกเก็บเงิน ตัดจากงบประมาณสองส่วนคือ งบประมาณที่ได้รับการจัดสรร 18.5% และอีกก้อนตัดจากงบดำเนินโครงการ 30% กลายเป็นภาพจำลองชวนให้ตั้งข้อสังเกตว่า หากภาพรวมงบประมาณทั้งประเทศ ถูกกัดกิน เบียดบังไป 30% จากงบประมาณทั้งหมด สิ่งที่เคยมีการพูดว่า การทุจริตกัดกร่อนประเทศ ไม่น้อยกว่าปีละหลายแสนล้านบาท ก็ไม่ใช่เรื่องไกลเกินความเป็นจริง ยกตัวอย่างงบประมาณปี 2566 วงเงิน 3,185,000 ล้านบาท ถ้าหายไป 30% จะเป็นเงินสูงถึง  955,500 ล้านบาทเลยทีเดียว ก็ได้แต่หวังว่าการทุจริตจะไม่รุนแรงมากขนาดนั้น

จากการตรวจสอบข้อมูลของคอลัมน์หมายเลข 7 พบว่า ปีที่ผ่านมา มีการทุจริตในภาครัฐ ที่ถูกจับได้ไล่ทัน เกิดเป็นคดีความในความรับผิดชอบของ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ หรือ ป.ป.ท.มากกว่า 1,600 คดีเลยทีเดียว

แม้ช่วงกลางปีที่ผ่านมา ประเทศไทยจะติดอันดับ 2 ประเทศน่าลงทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากผลสำรวจของธนาคาร HSBC Navigator : SEA in Focus แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัญหาการทุจริต ต้องจ่ายเบี้ยบ้ายรายทาง เพื่อความสำเร็จทางธุรกิจ เป็นอุปสรรคสำคัญ ที่ส่งผลต่อความมั่นใจของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งในสายตาของผู้ตรวจสอบการทุจริตมาทั้งชีวิต ยังเห็นว่า การปราบปรามทุจริตของรัฐบาลสอบตก

สังคมไทย จะพ่ายแพ้ให้กับการทุจริตหรือไม่ ประชาชนมีส่วนสำคัญ ยิ่งใกล้เลือกตั้งแบบนี้ จะเลือกตัวแทนอย่างไร อำนาจอยู่ในมือของทุกคน ที่สำคัญต้องใช้อำนาจนั้นอย่างสุจริตด้วย