ข่าวในหมวด เช้านี้ที่หมอชิต

เจาะบริษัทหลานนายกฯ

เช้านี้ที่หมอชิต - ส่อง 4 เครือข่ายธุรกิจ 2 หลานชายนายกรัฐมนตรี หลังนายชูวิทย์ออกมาเปิดเผยว่ามีเอี่ยวกับธุรกิจของนายตู้ห่าว พบว่า 7 ปีที่ผ่านมา มียอดเงินเข้า 4 บริษัทฯ ในแต่ละปี มีวงเงินหลายร้อยล้านบาท เกือบทั้งหมดเป็นงานรับเหมาจากโครงการภาครัฐ 

นับเป็นการสลับหมัดไปเน้นเป้าใหญ่ จากผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แต่ล่าสุด นายชูวิทย์ เน้นเป้าใหญ่ คือ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี กับความเกี่ยวข้องกับคดีตู้ห่าว

อย่างกรณีล่าสุด เมื่อ 7 มกราคมที่ผ่านมา  นายชูวิทย์ โพตส์ผ่านเฟซบุ๊คว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัด คอนเทมโพรารี คอนสตรัคชั่น ขายรถทัวร์หลายคัน ให้กับ บริษัท เอ็มแอนด์เอ็มฯ เครือข่ายตู้ห่าว เช่าซื้อ และข้อกล่าวหานี้จะเป็นจริงหรือไม่ ทางห้างหุ้นส่วนจำกัด คอนเทมโพรารี คอนสตรัคชั่น ยังไม่ได้ออกมาชี้แจงแต่อย่างใด

และใต้คอมเมนท์ นายชูวิทย์ ยังตั้งคำถามต่อด้วยว่า ผมว่า ไม่มีหน่วยงานรัฐไหนกล้าสอบ ห้างหุ้นส่วนดังกล่าว ที่มีหลานนายกฯ เป็นหุ้นใหญ่หรอก ว่าทำไมมีทุนจดทะเบียนแค่ 3 ล้าน แต่นำเข้ารถทัวร์ ได้หลายร้อยคัน ไปเอาเงินที่ไหนมา?

คำว่าหลานนายก และห้างหุ้นส่วนจำกัด คอนเทมโพรารี คอนสตรัคชั่น จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากหลานชายสองคนของพลเอกประยุทธ์ และเป็นลูกชายของพลเอกปรีชา จันทร์โอชา สมาชิกวุฒิสภาจากการแต่งตั้ง คือนายปฐมพล และนายปฏิพัทธิ์ จันทร์โอชา ซึ่งเคยเป็นข่าวดังมาแล้วเมื่อปี 2561 เมื่อถูก ส.ส.ฝ่ายค้านได้นำไปตั้งกระทู้ถามในสภาว่า เหตุใดจึงมีการเปิดบริษัทในค่ายทหาร และประมูลงานจากภาครัฐ กระทั่งถูก ป.ป.ช.เข้าตรวจสอบ

ซึ่งสำหรับธุรกิจของหลานชายนายกรัฐมตรี มีอย่างน้อย 4 แห่ง ที่ตรวจสอบได้จากกรมพัฒนาธุรกิจและการค้า กระทรวงพาณิชย์ คือ

- ห้างหุ้นส่วนจำกัด คอนเทมโพรารี คอนสตรัคชั่น ทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง มีนายปฐมพล จันทร์โอชา ถือหุ้น 33.3333%

- บริษัท พีทีที พาวเวอร์ กรุ๊ปคอน จำกัด ทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง มีนายปฐมพล จันทร์โอชา ถือหุ้น 33.3333%

- บริษัท บีวิช คาร์ เร้นทอล จำกัด ทำธุรกิจการให้เช่าและให้เช่าแบบลิสซิ่งยานยนต์ชนิดรถบรรทุกและยานยนต์หนักอื่น ๆ มีนายปฐมพล จันทร์โอชา ถือหุ้น 16.6667 %

- บริษัท พี-ไรท์แอนด์บริส จำกัด ทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง มีนายปฏิพัทธิ์ จันทร์โอชา เป็นกรรมการและถือหุ้นใหญ่สุด 90%

ซึ่งทั้ง 4 บริษัทของลูกชาย 2 คน พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ที่จดทะเบียนบริษัทฯ อย่างน้อย 3 แห่ง ก็เป็นคู่สัญญารัฐ ตั้งแต่ ปี 2558 แล้ว อย่างห้างหุ้นส่วนจำกัด คอนเทมโพรารี คอนสตรัคชั่น บริษัท บีวิช คาร์ เร้นทอล จำกัด และบริษัท พี-ไรท์แอนด์บริส จำกัด แม้ในปี 2561 ห้างหุ้นส่วนจำกัด คอนเทมโพรารี คอนสตรัคชั่น ยังอยู่ในระหว่างถูกสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ตรวจสอบข้อจริงเบื้องต้น กรณีถูกกล่าวหาว่า บริษัทฯ จดทะเบียนจัดตั้งในค่ายทหารสมเด็จพระเอกาทศรถ หรือ กองทัพภาคที่ 3 แต่ก็ยังมีรายชื่อ ร่วมประมูลและชนะโครงการของรัฐ โดยเฉพาะของกองทัพภาคที่ 3 หลายโครงการ รวมวงเงินหลายร้อยล้านบาท จำนวนโครงการ และเม็ดเงินที่ห้างหุ้นส่วนจำกัด คอนเทมโพรารี คอนสตรัคชั่น ทำได้ ปี 2558 มี 6 โครงการ รวมวงเงินที่ได้ 109.42 ล้านบาท, ปี 2559 มี 5 โครงการ รวมวงเงินที่ได้ 27.46 ล้านบาท, ปี 2560 มี 5 โครงการ รวมวงเงินที่ได้ 194.66 ล้านบาท, ปี 2561 มี 4 โครงการ รวมวงเงินที่ได้ 142.38 ล้านบาท, ปี 2562 มี 2 โครงการ รวมวงเงินที่ได้ 12.43 ล้านบาท, ปี 2563 มี 3 โครงการ รวมวงเงินที่ได้ 124.75 ล้านบาท, ปี 2564 มี 3 โครงการ รวมวงเงินที่ได้ 251.88 ล้านบาท

ส่วนในช่วงเดือนมิถุนายน - กรกฎาคม 2564 ห้างหุ้นส่วนจำกัด คอนเทมโพรารี คอนสตรัคชั่น ของนายปฐมพล จันทร์โอชา ยังเป็นผู้ชนะการประมูลโครงการก่อสร้างอาคารของหน่วยงานรัฐอย่างน้อย 3 สัญญา รวมวงเงิน 251.88 ล้านบาท ก็คือ ตั้งแต่ 2558 - 2564 ห้างหุ้นส่วนจำกัด คอนเทมโพรารี คอนสตรัคชั่น เป็นคู่สัญญาได้รับงานจากหน่วยงานของรัฐ 7 ปี ยอดรวมวงเงินอย่างน้อย 863.31 ล้านบาท

นอกจากนี้ ธุรกิจของนายปฐมพล และนายปฏิพัทธิ์ จันทร์โอชา อย่างน้อย 3 บริษัท ที่เป็นคู่สัญญารัฐ ได้แก่ หจก.คอนเทมโพรารี คอนสตรัคชั่น บริษัท บีวิช คาร์ เร้นทอล จำกัด และบริษัท พี-ไรท์ แอนด์ บริส จำกัด รวมวงเงิน หรือ นับรวมที่เป็นคู่สัญญาเอง และเป็นกิจการร่วมค้า ก็ไม่น้อยกว่า 1,167.05 ล้านบาท ทั้งหมดนี้เป็นรายได้ที่ได้จากโครงการรัฐทั้งหมด

แต่ในกรณีที่นายชูวิทย์เปิดเผยเรื่องการนำเข้ารถทัวร์หลายร้อยคันจากประเทศจีน และขายให้กับบริษัทในเครือธุรกิจของนายตู้ห่าว จะยังเป็นการพาดพิงมาจากนายชูวิทย์ ซึ่งหลักฐานยังอยู่ในมือของนายชูวิทย์ที่รอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริง แต่ข้อมูลนี้มีความสำคัญ และเกิดคำถามว่า เหตุใดนายชูวิทย์จึงเปลี่ยนเป้าจาก ผบช.น.มาถึงตัวนายกรัฐมนตรีโดยตรงจะเป็นข้อเท็จจริงมากน้อยเพียงใดก็อีกเรื่อง ซึ่งผลที่ได้ขณะนี้ คือทำให้นายกรัฐมนตรีออกอาการหงุดหงิดสื่อทันที หลังสื่อนำเรื่องนี้ไปตั้งคำถาม ก็รอติดตามชมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ต่อไป

ขอบคุณภาพจาก : Facebook ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์

ดูเพิ่มเติมแสดงน้อยลง Bookmark