ข่าวในหมวด เช้านี้ที่หมอชิต

ฉาว อดีตรองนายกฯ เล่นชู้เมียชาวบ้าน ไม่ชอบสนามกอล์ฟอัลไพน์

เช้านี้ที่หมอชิต - นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม แถลงพร้อมบอกใบ้เพิ่มเติมอดีตรองนายกฯ ย. ที่แอบเป็นชู้กับเมียชาวบ้าน เกี่ยวข้องกับกระทรวงมหาดไทย ชอบกีฬากอล์ฟ แต่ไม่ชอบสนามกอล์ฟอัลไพน์ อายุมากแล้ว ไม่เกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทย เพราะออกจากพรรคตั้งแต่ปี 2561

นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ แถลงกรณีก่อนหน้านี้ได้โพสต์เฟซบุ๊กอดีตรองนายกฯ เล่นชู้เมียชาวบ้านว่า เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นมานานเป็นปี อย่างที่มีนักการเมืองบางคนให้สัมภาษณ์ เหตุเกิดเมื่อเดือนธันวาคม 2565 เริ่มต้นจาก นาย ก. มีภรรยาที่จดทะเบียนสมรสกัน ภรรยาทำงานที่โรงแรม 5 ดาวแห่งหนึ่ง แต่ภายหลังมีท่าทีเปลี่ยนไป ก่อนที่ นาย ก. จะไปเปิดโทรศัพท์ดู กระทั่งเจอข้อความในแชตไลน์กับผู้ชายรายหนึ่ง คือ นาย ย. เป็นอดีตรองนายกรัฐมนตรี เมื่อขอหย่าภรรยากลับไม่ยอมหย่า ตนจึงแนะนำให้ฟ้องแพ่งเรื่องชู้สาวเรียกค่าทดแทนได้ทั้งภรรยาและชู้ คือ นาย ย. ซึ่งได้ฟ้องศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง เป็นคดีแพ่งเรียกค่าเสียหาย ไปเมื่อเดือนธันวาคม 2565 ศาลนัดไต่สวนเดือนมีนาคม 2566

โดยเคสนี้ไม่ใช่คดีอาญา แต่เป็นเรื่องทางแพ่งที่ใครมายุ่งกับภรรยาที่จดทะเบียนสมรส สามารถฟ้องชู้สาว เรียกค่าทดแทนจากภรรยา และคนที่เป็นชู้ รวมถึงฟ้องหย่าได้

ระหว่างนั้น นาย ย. พยายามตีตัวออกหาก พร้อมกับฟ้องภรรยาว่าหลอกลวง ขอให้คืนทรัพย์สินต่าง ๆ จึงนัดเจรจาคดีความที่ สน.บางยี่ขัน แต่ นาย ก. ซึ่งเป็นลูกความ อ้างว่า มีกลุ่มชายฉกรรจ์เข้ามาในโรงพัก มีพฤติกรรมข่มขู่ และตามมาคุกคามที่บ้าน ทำให้กังวลเรื่องความปลอดภัย จึงให้เปิดเผยเรื่องราวนี้ต่อสื่อมวลชน เพื่อป้องกันตัว และอยากให้ประชาชนได้รู้พฤติกรรม ที่ผ่านมาได้ร้องเรียนไปที่รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติไปแล้ว นาย ย. เป็นถึงอดีตรองนายกรัฐมนตรี ควรมีจริยธรรม ไม่ควรมายุ่งกับคนที่มีสามีแล้ว แต่ที่บอกชื่อไปตรง ๆ ไม่ได้ รวมถึงไม่ไปเอ่ยถึงพรรคการเมือง หรือ อยู่ในนายกรัฐมนตรีสมัยไหน เพราะต้องป้องกันตัวเองด้วย

ทนายตั้ม ได้ใบ้เพิ่มว่า อดีตรองนายกรัฐมนตรีอักษรย่อ ย.ยักษ์ เกี่ยวข้องกับกระทรวงมหาดไทย ชอบกีฬากอล์ฟ แต่ไม่ชอบสนามกอล์ฟอัลไพน์  ไม่เกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทย เพราะออกจากพรรคตั้งแต่ปี 2561 อายุมากแล้ว สิ่งที่เกิดกับลูกความตัวเอง ถือว่ามีหลักฐานข้อความแชต รูปภาพครบถ้วนชัดเจน ดังนั้นการที่บุคคลที่รู้ตัวเองอยู่แล้วออกมาปฏิเสธ ถือว่าไม่มีความรับผิดชอบ ซึ่งจะเข้าไปยื่นหนังสือข้อมูลหลักฐานถึงรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอีกครั้งภายในสัปดาห์นี้ นอกจากนี้ ในระหว่างแถลง ทนายตั้ม ถามสื่อมวลชนว่า ตอนนี้มีใครออกมาปฏิเสธแล้วบ้าง

ทนายตั้ม ยืนยันว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องการเมือง แต่เกี่ยวกับรื่องของบุคคลหนึ่งที่เคยมีตำแหน่งถึงระดับรองนายกรัฐมนตรี แต่ว่าทำอะไรแบบนี้เสียเกียรติ

ในเรื่องนี้ไม่ใช่แค่การเสียเกียรติ แต่ตนต้องการปกป้องลูกความด้วย หลังจาก นาย ก. ถูกข่มขู่ เพราะเป็นอดีตรองนายกฯ มีพรรคพวกมาก ไม่รู้ว่าจะไปทำอะไรเมื่อไหร่ แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับลูกความตน ตนจะตามหาคนจ้างวาน ซึ่งอาจจะไปติดคุกตอนแก่อีกรอบก็ได้

อย่างไรก็ตาม จากการเปิดเผยของทนายตั้ม มีรายงานว่า นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ ได้บอกว่า ไม่เป็นไร ทราบเรื่องนี้หมดทุกอย่างแล้ว กำลังจัดการอยู่ โดยอยากให้พรรคเพื่อไทยขับทนายตั้มออกมาจากพรรค เพราะทนายตั้มเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยอยู่ เหตุการณ์ทั้งหมดยืนยันไม่ใช่ตัวเองแน่นอน เพราะอดีตรองนายกรัฐมนตรีมีตั้งหลายคน ทั้งนี้รายการเช้านี้ที่หมอชิต พยายามต่อสายโทรศัพท์ถึง นายยงยุทธ เพื่อขอสัมภาษณ์ แต่ไม่สามารถติดต่อได้

จากตรงนี้ ทำให้ต่อมา ทนายตั้มโพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ข้อความว่า “อ้าว คุณยงยุทธ ผมยังไม่ได้พูดชื่อคุณเลย ร้อนตัวอะไรหรือเปล่าครับ แล้วจะมาขับผมออกจากพรรคเพื่อไทยทำไม ในเมื่อผมเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ที่มีความนิยมชมชอบในพรรคเหมือนประชาชนทั่วไปมาหลายปีแล้ว ผมทำผิดอะไรในการให้คำแนะนำกับลูกความ และช่วยปัดเเป่าทำความสะอาดพรรค ไม่ให้พรรคมัวหมอง”

นอกจากนี้ ในคอมเมนต์ใต้โพสต์ทนายตั้ม ก็ยังเขียนไว้ว่า “ถ้าจะขับออกขอเงิน 2,000 บาทคืนด้วย” และ ภาพพร้อมข้อความว่า “หล่อนมีพิรุธอีกแล้วนะ”

ทนายตั้ม ให้สัมภาษณ์พิเศษรายการเช้านี้ที่หมอชิตว่า การเปิดเผยเรื่องนี้ ทำให้ฝั่งตรงข้ามขู่จะฟ้องตน ซึ่งถือเป็นการร้อนตัว ซึ่งจนถึงตอนนี้ความเคลื่อนไหวของบุคคลหนึ่งที่เกิดขึ้นหลังการแถลงข่าวน่าจะทำให้คนผู้ที่ติดตามข่าวรู้หมดแล้วว่า อดีตรองนายกฯ คนนั้นคือใคร

ด้าน นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ว่า เป็นการคาดเดาของสื่อและของคนที่เกี่ยวข้องว่าบุคคลดังกล่าว มีความเกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทย เรื่องนี้ยังไม่ชัดเจน แต่เมื่อมีการคาดเดา ระบุว่า อดีตเคยเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย หากอดีตเคยเป็นสมาชิกพรรค ถามว่าจะกระทบต่อพรรคหรือไม่ อย่างไรนั้น ก็ต้องดูข้อเท็จจริง ถ้าท่านนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับพรรค และปัจจุบันไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ในมุมของข้อกฎหมาย ความรับผิดชอบก็ไม่มี หมายความว่าพรรคก็ไม่มีอำนาจและหน้าที่ที่จะไปตั้งคณะกรรมการสอบเรื่องนี้ตามข้อบังคับพรรค ตรงนี้ทำไม่ได้อยู่แล้ว ที่สำคัญหากเรื่องเกิดขึ้นในขณะที่เขาไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค ก็ยิ่งไม่มีความเกี่ยวข้องกับพรรรค ฉะนั้น ในมุมของพรรคก็ไม่มีความเป็นห่วงหรือกังวลอะไร รวมทั้งขณะนี้บุคคลดังกล่าว ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค

ดูเพิ่มเติมแสดงน้อยลง Bookmark