ข่าวในหมวด เช้านี้ที่หมอชิต

ตำรวจแจงตรวจแอลกอฮอล์คนขับเบนท์ลีย์ รัดกุม

เช้านี้ที่หมอชิต - ตำรวจแจงขั้นตอนการทำคดีเบนท์ลีย์ ยืนยัน การเจาะเลือดทำให้ได้ผลแม่นยำสูง มีน้ำหนักในชั้นศาล

จากกรณีการแจ้งข้อหาผู้ขับเบนท์ลีย์ ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการแจ้งข้อหาเมาแล้วขับ รวมถึงไม่มีการตรวจระดับแอลกอฮอล์ด้วยการเป่าในที่เกิดเหตุ แต่ใช้วิธีนำตัวไปตรวจเลือดที่โรงพยาบาลแทน ทำให้หลายฝ่ายอาจมีข้อสงสัยว่าเป็นวิธีการตามขั้นตอนปกติของการดำเนินคดีหรือไม่ แตกต่างจากคดีเมาแล้วขับของคนทั่วไปหรือเปล่า

ในเรื่องนี้ ทีมข่าวได้สอบถามไปยัง พันตำรวจโท พิเชษฐ์ ก้อนแพง รองผู้กำกับสอบสวน งานศูนย์ควบคุมจราจรด่วน 1 กก.2 บก.จร. ได้รับคำยืนยันว่า คดีนี้เป็นนไปอย่างรัดกุม เนื่องจากเป็นคดีที่มีการเฉี่ยวชน หากพนักงานสอบสวนมีข้อสงสัยจะขอตรวจวัดแอลกอฮอล์ ต้องอาศัยอำนาจตามมาตรา 131/1 พ.ร.บ.วิธีพิจารณาความอาญา 2477 เพื่อเป็นข้อมูลหลักฐานที่มีน้ำหนักในการต่อสู้คดีชั้นศาล ซึ่งการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ด้วยการเจาะเลือดจะสามารถทำให้ทราบระดับแอลกอฮอล์เปอร์เซ็นต์ในเลือดที่แม่นยำกว่าการเป่า รวมถึงเป็นหลักฐานทางที่กระทำโดยแพทย์และพยาบาลจึงมีความน่าเชื่อถือสูง

อย่างไรก็ตาม ปกติการบังคับเจาะเลือดจะทำไม่ได้หากไม่มีการยินยอม เช่นเดียวกับการเป่า ดังนั้น ถ้าหากปฏิเสธการตรวจทั้ง 2 แบบ แม้สามารถแจ้งข้อหาเมาแล้วขับได้ แต่ก็อาจเป็นเหตุให้ผู้ต้องหาสู้คดีชนะในชั้นศาล ในกรณีนี้ผู้ขับเบนท์ลีย์ยินยอมให้มีการเจาะเลือดจึงไม่จำเป็นต้องเป่า ซึ่งเหตุเกิดในเวลาประมาณเที่ยงคืน ทางตำรวจนำตัวไปส่งตรวจเวลาประมาณ 05.00 น. ไม่ได้ทิ้งช่วงเวลานานเกินไป เพราะแอลกอฮอล์จะตกค้างในเลือดนานกว่าลมหายใจ และผลตรวจหาทั้งแอลกอฮอล์และสารเสพติดจะออกวันนี้ ไม่ใช่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ดังที่เป็นข่าวในตอนแรก ยืนยันว่าตนไม่ได้พูดแบบนั้นไม่รู้สื่อเอาข้อมูลนี้มาจากไหน เมื่อได้ผลในวันพรุ่งนี้ หากพบว่าเป็นการเมาแล้วขับก็จะแจ้งข้อหาเพิ่มทันที นอกจากนี้ ยังรอหลักฐานจากกองพิสูจน์หลักฐานด้วยว่าขับมาด้วยความเร็วเท่าไหร่ ถ้าขับเร็วเกินกฎหมายกำหนดก็จะโดนอีกคดีหนึ่ง

สำหรับเหตุผลที่ไม่ใช้ทั้งวิธีการเป่าด้วย เจาะเลือดด้วยนั้น เพราะตัวเลขที่ได้อาจไม่ตรงกัน จะกลายเป็นข้อขัดแย้งในการสู้คดีชั้นศาล เจ้าหน้าที่จึงต้องใช้หลักฐานที่มีความแม่นยำและน่าเชื่อถือสูงที่สุดในการจัดทำหลักฐาน ส่วนข้อสงสัยว่าแตกต่างจากคดีเมาแล้วขับทั่วไปหรือไม่ คดีทั่วไปหากไม่เป่าก็สามารถดำเนินคดีข้อหาเมาแล้วขับได้เลย

ในช่วงเย็นวันเดียวกัน ทางกองบัญชาการตำรวจนครบาล นำโดย พลตำรวจตรีจิรสันต์ แก้วแสงเอก รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาลดูแลงานจราจรได้แถลงความคืบหน้าในเรื่องนี้ โดยกล่าวถึงสาเหตุที่ให้ใช้วิธีการเจาะเลือดแทนการเป่าว่า เนื่องจากผู้ขับขี่ได้รับบาดเจ็บบริเวณหน้าอก อาจจะทำให้แรงลมการเป่าไม่เพียงพอ ทำให้เครื่องวัดไม่เสถียร อย่างไรก็ตาม กรณีนี้มีความเสียหายค่อนข้างมาก มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายราย การตรวจผลเลือดจึงเป็นส่วนที่ยืนยันในชั้นศาลได้ชัดเจน และยืนยันเช่นกันว่าผลระดับแอลกอฮอล์ในเลือดจะออกวันนี้ หากพบว่าเป็นการกระทำเมาแล้วขับ นอกจากการดำเนินคดีไปตามขั้นตอนแล้วจะถูกตัดคะแนนจำนวน 4 คะแนน ถือว่าเป็นกรณีการตัดคะแนนมากที่สุดด้วย ส่วนการตรวจสอบป้ายทะเบียนเสียภาษีถูกต้องหรือไม่ ยังไม่มีข้อมูลการกระทำเกี่ยวกับการหลีกเลี่ยงไม่เสียภาษีรถที่ใช้เกิดอุบัติเหตุแต่อย่างใด

สำหรับประเด็นว่ามีการหลบหนีขึ้นรถแท็กซี่จากที่เกิดเหตุหรือไม่ ได้มีการสั่งการให้ทางกองบังคับการตำรวจจราจร ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วว่ามีพฤติการณ์จะหลบหนีหรือไม่ และจะรายงานผลให้สาธารณะรับทราบต่อไป

ทันทีที่ตำรวจแถลง นายรณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรม โพสต์เฟซบุ๊กข้อความว่า “ต่อไปนี้ทุกคนดื่มเหล้าแล้วขับรถได้แล้วครับ เพราะเวลาเจอด่านตรวจหรือเกิดอุบัติเหตุ คุณอ้างว่าคุณมีอาการเจ็บคอหรือได้รู้สึกเจ็บหน้าอก ไม่มีแรงเป่าแล้วค่อยตรวจเลือด เพราะผ่านไป 6 ชั่วโมง คุณค่อยไปตรวจ ยังไงคุณก็ไม่เมาครับ” แล้วตบท้ายด้วยแฮชแท็ก #อส

ดูเพิ่มเติมแสดงน้อยลง Bookmark