ข่าวในหมวด เช้านี้ที่หมอชิต

อดีตรองนายกฯ ดำเนินคดีร่วมกันฉ้อโกงสาวชู้ สามี และครอบครัว

เช้านี้ที่หมอชิต - อดีตรองนายกฯ แจ้งความร่วมกันฉ้อโกงสาวชู้พร้อมสามียันครอบครัว เรียกทรัพย์สินมูลค่าเกือบ 20 ล้านคืน คดีถึงมืออัยการแล้ว ขณะที่ทนายตั้มตอกย้ำอดีตรองนายกฯ รู้เต็มอกว่าหญิงที่ตัวเองมาคบมีสามีแล้ว แย้มพรุ่งนี้มีเซอร์ไพรส์

หลังจากตกเป็นข่าวใหญ่ อดีตรองนายกรัฐมนตรี อักษรย่อ ย. แอบเล่นชู้กับเมียชาวบ้าน จนสามีของหญิงนั้นต้องให้ทนายตั้ม นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทนายประชาชนฯ ฟ้องหย่าภรรยาตัวเอง และฟ้องแพ่งเรียกค่าเสียหายจากอดีตรองนายกรัฐมนตรี ล่าสุด ปรากฏข่าวอดีตรองนายกรัฐมนตรี แจ้งความนางสาว ธ. หญิงชู้ของตัวเอง นาย ก. ผู้เป็นสามี และครอบครัว ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกง โดยคดีดังกล่าว แจ้งความร้องทุกข์ที่สถานีตำรวจนครบาลบางยี่ขัน ตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน 2565 มีผู้ถูกกล่าวหา 4 คน คือ นางสาว ธ. หญิงที่เป็นชู้กับอดีตรองนายกฯ นาย ก. สามีของนางสาว ธ. รวมถึงพ่อและแม่ของนางสาว ธ.

ในรายงานแสดงผลการบันทึกคดีของ สน.บางยี่ขัน ระบุพฤติการณ์ที่อดีตรองนายกฯ แจ้งความไว้ดังนี้ คือ เมื่อระหว่างเดือนธันวาคม 2564 ถึงเดือนพฤศจิกายน 2565 นางสาว ธ. นาย ก. สามี และผู้เป็นแม่ ได้ร่วมกันหลอกลวงว่า นางสาว ธ. ยังไม่ได้แต่งงานและยังไม่มีสามี ทั้งที่จริงได้จดทะเบียนสมรสกับนาย ก. ตั้งแต่ปี 2560 ทำให้อดีตรองนายกฯ หลงเชื่อและหลงรัก อยากให้นางสาว ธ. มาดูแลในฐานะคนรัก จึงนำเงินไปสู่ขอนางสาว ธ. กับผู้เป็นแม่และพ่อ ซึ่งได้ให้ทรัพย์สินต่าง ๆ ตามที่นางสาว ธ. ร้องขอดังนี้

1.เงินสด 1 ล้านบาท
2.แหวนเพชร 1 วง ประมาณ 5 แสนบาท
3.ทองคำหนัก 60 บาท ประมาณ 1.6 ล้านบาท
4.เงินสดซื้อรถ 3 ล้านบาท
5.เงินสดซื้อบ้าน 3 ล้านบาท
6.เงินโอนเข้าบัญชีธนาคาร 319,000 บาท
7.เงินสดให้ใช้ 10 ล้านบาท

รวม 19,419,000 บาท

ในรายงานบันทึกคดีระบุอีกว่า ผู้ต้องหาทั้้ง 4 คน รู้อยู่แล้วว่า นางสาว ธ. แต่งงานอยู่กินกับนาย ก. แต่ได้ปิดบังอดีตรองนายกฯ ทั้งที่สามารถแจ้งความจริงได้ และเมื่อได้ทรัพย์สินไปแล้ว ประมาณ เดือนพฤศจิกายน 2565 นางสาว ธ. ตีตัวออกห่างและเลิกกับอดีตรองนายกฯ และไม่ติดต่ออีกเลย แสดงว่าผู้ต้องหาทั้ง 4 ร่วมกันหลอกลวงเพื่อให้ได้ทรัพย์สินไป

ล่าสุด เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2566 มีหนังสือแจ้งความคืบหน้าการสอบสวนของสถานีตำรวจนครบาลบางยี่ขัน ส่งถึงผู้แจ้งความร้องทุกข์ คืออดีตรองนายกฯ ระบุว่า ขณะนี้พนักงานสอบสวน สรุปสำนวนสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 4 คน แต่ผู้ต้องหาที่เป็นพ่อไม่มาพบพนักงานสอบสวน จึงขอศาลอนุมัติหมายจับ ซึ่งตอนนี้ ได้สรุปสำนวนมีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ 1 ถึง 3 ต่ออัยการแล้ว ส่วนผู้เป็นพ่อที่หลบหนี จะติดตามจับกุมมาดำเนินคดีต่อไป

ทีมข่าวเช้านี้ที่หมอชิต สอบถามพนักงานสอบสวนคดีนี้ ลำดับเหตุการณ์ว่า อดีตรองนายกฯ แจ้งความ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2565 และทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้รวบรวมหลักฐาน จนกระทั่ง วันที่ 15 ธันวาคม 2565 สถานีตำรวจนครบาลบางยี่ขัน ได้เรียกผู้ต้องหาทั้ง 4 ราย มาแจ้งข้อหา แต่ผู้ต้องหาเดินทางมาแจ้งข้อหาเพียง 3 ราย ซึ่งมาพร้อมกับษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม หลังจากแจ้งข้อหา จากนั้นได้ขออนุมัติศาลอาญาตลิ่งชันออกหมายจับผู้เป็นพ่อ เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2566 และล่าสุด วันที่ 10 มกราคม 2566 สถานีตำรวจนครบาลบางยี่ขัน ก็ได้มีเอกสารแจ้งความคืบหน้าคดีการสอบสวน สรุปสำนวนส่งอัยการออกมา

ด้าน นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ให้สัมภาษณ์ หลังปรากฏข่าวอดีตรองนายกฯ แจ้งความหญิงชู้พร้อมครอบครัว รวมถึงลูกความของตัวเองว่า กรณีนี้ ทั้งสามีที่เป็นลูกความตนเอง รวมถึงภรรยากับแม่ ได้ไปให้การกับตำรวจแล้ว แต่คนพ่อไม่ได้ไปให้การเพราะมีหมายจับคดีเช็คติดตัวอยู่ หากไปพบตำรวจก็โดนจับได้ทันที ซึ่งการแจ้งความดังกล่าวนั้นเป็นความต้องการที่อดีตรองนายกฯ อยากให้ภาพปรากฏบนสื่อตามนี้ ทนายตั้ม กล่าวอีกว่า ภายหลังคดีสั่งฟ้องในวัน 13 มกราคมนี้ ตนจะทำหนังสือร้องขอความเป็นธรรมให้กับสามีที่เป็นลูกความ โดยให้อดีตรองนายกฯ มาให้การด้วยว่า เคยรู้จักหรือพบกับลูกความตนหรือไม่ ส่วนกรณีที่อ้างว่าถูกหลอกเอาทรัพย์สินไป 7 รายการนั้น ขณะเกิดเหตุมีใครอยู่บ้าง พ่อแม่และลูกความตนเกี่ยวข้องอย่างไร

ต่อมาคือข้ออ้างเรื่องการสู่ขอฝ่ายหญิงนั้น อดีตรองนายกฯ ไปกับใคร มีสักขีพยานและหลักฐานขณะทำพิธีหรือไม่ ท้ายสุด คือ ทรัพย์สินมูลค่ากว่า 20 ล้านบาทนั้น นำไปให้ฝ่ายหญิงเมื่อใด ลูกความตนอยู่ด้วยหรือไม่ ทนายตั้ม เผยอีกว่า กรณีทำพิธีสู่ขอนั้น ต้องมีภาพหลักฐาน แต่ส่วนตัวเชื่อว่าไม่มี เป็นการสร้างเรื่องเพื่อหาเหตุเอาเงินคืน ตำรวจจึงต้องไปสืบหาเส้นทางการเงิน 20 ล้านบาท ที่อ้างว่าให้ฝ่ายหญิงไปด้วย และตนตั้งข้อสังเกตว่า หากอดีตรองนายกฯ รู้ว่าตัวเองโดนหลอก เหตุใดถึงไม่มาให้ข่าวแต่แรก กลับรอให้มีภาพหลุดมาก่อน นอกจากนี้ หลังการแถลงข่าวครั้งแรก ยังมีผู้ประสานมาหาตนว่าต้องการให้จบเรื่องนี้ด้วย

อย่างไรก็ตาม ตนยังเชื่อมั่นในลูกความตัวเองเพราะมีหลักฐานชัดเจนทั้งหมด จากนี้ตนเตรียมดำเนินคดีกลับอดีตรองนายกฯ ฐานแจ้งความเท็จ รวมถึงผู้เกี่ยวข้อง พร้อมจะให้การช่วยเหลือลูกความตนในคดีฉ้อโกงที่ถูกแจ้งความ ทนายตั้ม ยืนยันด้วยว่า เรื่องนี้ไม่ใช่กระบวนการตบทรัพย์ เพราะมีการฟ้องร้องตั้งแต่แรก หากเป็นการตบทรัพย์ ต้องมีการต่อรองเพื่อไม่ให้เป็นข่าว ซึ่งฝั่งตนฟ้องร้องอย่างเงียบ ๆ มาตลอด กระทั่งเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยจึงต้องออกมาเป็นข่าว เนื่องจากฝ่ายสามีซึ่งเป็นนักธุรกิจ ถูกคุกคามจนต้องย้ายที่อยู่ไปเรื่อย ซึ่งสามี ลูกความตนไม่มีลูกกับภรรยา คู่กรณี ตอนนี้ได้แยกกันอยู่ ส่วนขั้นตอนการฟ้องหย่ากำลังดำเนินการ

หลังจากให้สัมภาษณ์ ทนายตั้มก็โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก โดยระบุว่า เรื่องนี้ชักสนุก ใครกันแน่ทำเป็นขบวนการ คดีนี้มีการอ้างว่าอดีตรองนายกรัฐมนตรีรักจริง มีผูกข้อไม้ ข้อมือ และเอาสินสอดของหมั้นให้ฝ่ายหญิง ถ้าจะเรียกคืนตามกฎหมายมันไม่ได้อยู่แล้ว อดีตรองนายกรัฐมนตรีรู้อยู่เต็มอกว่าตัวเองมีภรรยาที่จดทะเบียนสมรสอยู่ จะไปหมั้นกับผู้หญิงอื่นได้ยังไง และที่สำคัญการทำพิธีผูกข้อไม้ข้อมือ มีญาติผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงไหนบ้างครับ มีรูปหลักฐานสักรูปหรือเปล่า หรือเป็นแค่ข้ออ้างลอย ๆ เพื่อแก้เกมไปวัน ๆ ส่วนการจะอ้างว่า ไม่รู้ว่าผู้หญิงมีสามีแล้ว คนระดับนี้ก่อนจะทำพิธีจะไม่เช็กกันเลยเหรอ หรือรู้อยู่เต็มอกแต่ไม่สนใจแค่นั้นเอง ติดตามให้ดีนะครับ พรุ่งนี้มีเซอไพรส์ และเมื่อคืน (11 ม.ค.) ก็มีการโพสต์ข้อความออกมาเพิ่มเติมสั้น ๆ ว่า ตอนนี้สื่อหลายแห่ง โพสต์อวยอดีตรองนายกฯ กันแปลก ๆ แบบมีนัยยะนะครับ เดี๋ยวรู้พลิกไม่พลิก แฉปุ๊บ หย่าปั๊บ คิดว่าไม่รู้ อิอิ พรุ่งนี้เตรียมแถลงข่าวอีกรอบครับ ซึ่งชาวเน็ตต่างก็มาแสดงความคิดเห็นใต้โพสต์ดังกล่าว มีหลายคนเลยคอมเมนต์ว่า รอ ๆ

ดูเพิ่มเติมแสดงน้อยลง Bookmark