ข่าวในหมวด เช้านี้ที่หมอชิต

ย้อนไทม์ไลน์คดีน้องต่อ และข้อพิรุธต่างๆ ที่เกิดขึ้น

เช้านี้ที่หมอชิต - สำหรับผู้ต้องสงสัยในคดี น้องต่อ เด็กชายวัย 8 เดือน หายออกจากบ้านอย่างเป็นปริศนา เราจะมาไล่ดูไทม์ไลน์กันว่า ผู้ต้องสงสัยทั้ง 3 คนนั้น เกี่ยวข้องกับคดีนี้อย่างไร และมาขยายดูว่าแต่ละคนนั้น เหตุใดจึงตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีนี้ 

บุคคลต้องสงสัยคนแรกคือ น.ส.นิ่ม แม่ของน้องต่อ ซึ่งหลังเกิดเหตุถูกตำรวจสอบปากคำไปแล้วหลาย ครั้งจนถึงขนาดต้องนำเข้าเครื่องจับเท็จ น.ส.นิ่ม เคยทำงานร้านอาหารแห่งหนึ่ง ตำรวจในพื้นที่ยืนยันว่าสาเหตุที่พุ่งข้อสงสัยไปที่ น.ส.นิ่ม แม่ของเด็ก เพราะเป็นคนสุดท้ายที่เห็นเด็กก่อนหายตัวไป

น.ส.นิ่ม ตกเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์หลังมีภาพจากกล้องวงจรปิด พบว่าเจ้าตัวซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ไปกับนายพุด สามี ไปแจ้งเหตุลูกหายในวันเกิดเหตุใน เวลา 08.33 น. ขัดแย้งกับที่เคยให้สัมภาษณ์ว่า ลูกหายประมาณ 07.00 น. และมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าจากภาพวงจรปิด น.ส.นิ่ม ดูจะไม่มีอาการร้อนใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นสักเท่าไหร่นัก

ข้อมูลจากทีมสืบสวนตำรวจภูธรภาค 7 พบว่าก่อนวันเกิดเหตุ น.ส.นิ่ม กับ นายพุด ทะเลาะกัน เรื่องเลี้ยงลูก ทำให้นายพุด โมโห ฉีกมุ้งที่นอนเสียหาย น.ส.นิ่ม ได้ดุด่านายพุด แล้วนำมุ้งไปทิ้งถังขยะ ก่อนที่เช้าวันนั้นจะพบว่าลูกหายไปแล้ว

จากการสอบปากคำของตำรวจพบว่าแต่ละวัน น.ส.นิ่ม จะตื่นสายกว่าทุกคนในบ้าน เมื่อตื่นนอนจะนำลูกขี่รถจักรยานยนต์ไปส่งนายพุด ที่โรงงานแถวบ้าน จากนั้นก็ขี่รถนำลูกไปฝากไว้กับพ่อที่รับจ้างเฝ้าบ่อเลี้ยงปลา ก่อนจะหายไปกับชายคนสนิททุกวัน ตกเย็นก็จะมารับสามีกลับจากเลิกงานและกลับบ้าน ซึ่งหลังจากที่ลูกหายไป น.ส.นิ่ม ถูกตำรวจสอบปากคำทุกวัน เมื่อกลับมาถึงบ้านก็เล่นเฟซบุ๊กและนอนหลับปกติ ไม่ได้ออกตามหาลูก มีแต่ชาวบ้านกับอาสาสมัครที่คอยสอดส่องตามหา

จากพฤติกรรมของ น.ส.นิ่ม ประกอบกับประวัติที่ผ่านมาที่พบว่า เธอมีสัมพันธ์กับผู้ชายหลายคน หลังจากเกิดเหตุน้องต่อ หายไป ทำให้ นางจำเนียร แม่ของนายพุด ถึงกับยื่นคำขาดกับ น.ส.นิ่ม ว่า "หากเรื่องนี้จบแล้ว แม่จะไม่ให้นิ่มอยู่ที่นี่ แม่ไม่ให้อยู่อย่างแน่นอน และให้ตัดขาดจากพุด แต่อยู่ที่ตัวพุดเองด้วยว่าจะตัดขาดกับนิ่มได้หรือไม่"
 
ด้าน น.ส.นิ่ม บอกกับสื่อว่า ตอนนี้รู้สึกเหนื่อยกับเรื่องที่เกิดขึ้น หาลูกก็ไม่เจอ แล้วยังโดนกดดันทุกทางจนอธิบายไม่ถูก หากจบเรื่องนี้ก็ตั้งใจจะกลับไปอยู่บ้านของตัวเอง แต่ตอนนี้ติดตรงที่ต้องไปโรงพักทุกวัน เพราะเรื่องยังไม่จบ ส่วนตัวนั้นยังมั่นใจว่าจะเจอลูก ไม่ว่าจะเจอแบบมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตาม

ส่วนผู้ต้องสงสัยคนที่ 2 คือ นายแจ้ คนนี้เป็นเพื่อนกับพ่อของ น.ส.นิ่ม นายแจ้ เข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีนี้ เนื่องจากหลังเกิดเหตุน้องต่อหายตัวไป ตำรวจได้ตรวจดีเอ็นเอผู้ที่อยู่ในข่ายน่าสงสัย และผู้ที่เคยใกล้ชิดกับน้องต่อ โดยนายแจ้ เป็นหนึ่งในคนที่ถูกตรวจดีเอ็นเอ ด้วย

ซึ่ง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยกับสื่อเรื่องผลการตรวจดีเอ็นเอ ที่พบว่า นายแจ้ มีดีเอ็นเอตรงกันกับน้องต่อ เรื่องนี้สังคมถึงกับอึ้ง เพราะนั่นหมายถึงว่าพ่อที่แท้จริงของน้องต่อ คือ นายแจ้ ไม่ใช่นายพุด โดยที่ตัวนายแจ้เองยอมรับว่าเคยมีสัมพันธ์กับ น.ส.นิ่ม โดยไม่ได้ป้องกันจริง แต่โดยส่วนตัวยังไม่เชื่อว่าน้องต่อจะเป็นลูกของตนเอง อย่างไรก็ตามตอนนี้อยากให้สังคมโฟกัสไปที่เรื่องการค้นหาน้องต่อ ให้พบก่อน

คนสุดท้ายที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีนี้ คือ นายหรั่ง ชายสติไม่สมประกอบที่อาศัยอยู่ในบ้าน ซึ่งอยู่ติดกับบ้านของ น.ส.นิ่ม กับนายพุด โดยเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา นายประกอบ ศิลารัตน์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 6 ซึ่งได้ข้อมูลมาจากหน่วยงานหนึ่งว่า ให้ลองตรวจสอบบุคคลสติไม่สมประกอบในพื้นที่ดู เนื่องจากเคยเกิดเหตุเด็กหายในจังหวัดใกล้เคียง แล้วพบว่ามีชายสติไม่สมประกอบมาอุ้มเด็กไป ผู้ใหญ่บ้านจึงไปตรวจสอบกับนายหรั่ง ซึ่งตอนนั้นนายหรั่ง บอกว่าเป็นคนพาเด็กไปเอง พร้อมกับพาไปชี้จุดที่ทิ้งเด็กไว้ แต่ภายหลังนายหรั่งให้การปฏิเสธ บอกว่าที่บอกไปแบบนั้นเพราะตำรวจรับปากว่าจะให้กินข้าว เรื่องนี้จึงจบไป จนกระทั่งมีชาวบ้านคนหนึ่ง ชื่อ นางบุญล้อม ออกมายืนยันว่า ในวันเกิดเหตุ เห็นนายหรั่งปั่นจักรยานสวนทางมา โดยมีเด็กคนหนึ่งนั่งอยู่หน้าตะกร้ารถจักรยานของนายหรุ่ง แต่ตอนนั้นไม่มั่นใจว่าจะใช่น้องต่อหรือไม่ เพราะเด็กนั่งหันหลังมา และตนก็ไม่ได้ตามข่าว จึงเพิ่งทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้น หลังจากเห็นผู้ใหญ่บ้านออกทีวีตามหาเด็ก จึงรู้ว่ามีเด็กหายในหมู่บ้าน

จากปากคำของพยานรายนี้ ทำให้ตอนนี้ประเด็นพุ่งเป้าไปที่นายหรั่ง ชายสติไม่สมประกอบ ซึ่งขณะนี้ได้ถูกตำรวจนำตัวไปสอบปากคำ ซึ่งเป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากนายหรั่งยังให้การวกไปวนมา

ดูเพิ่มเติมแสดงน้อยลง Bookmark