ข่าวในหมวด เช้านี้ที่หมอชิต

ยุทธพร เชื่อ มวลชนลงถนนแน่ หากนายกฯ ไม่ใช่ พิธา

เช้านี้ที่หมอชิต - เลือกตั้งผ่านมาแล้วเป็นเดือน เสียงของประชาชนก็ชัดแล้วว่าต้องการให้ประเทศเดินไปในทิศทางไหน แต่สถานการณ์ยังคงพลิกผันไปมาแบบกระพริบตาไม่ได้ เมื่อเป็นอย่างนี้ คำถามหนึ่งที่เชื่อว่ากำลังดังก้องในใจใครหลาย ๆ คนก็คือ "พิธาจะได้เป็นนายกไหม" โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ เพื่อไทย มีท่าทีเช่นนี้ฉากทัศน์ทางการเมืองหน้าต่อ

เรานำเรื่องนี้ไปพูดคุยกับ รศ.ดร.ยุทธพร อิสรชัย อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ให้ช่วยวิเคราะห์หน่อย "พิธา จะได้เป็นนายกไหม" อาจารย์ยุทธพร มองว่า โอกาสของคุณพิธาอยู่ที่ 50: 50 มาตั้งแต่แรกเพราะมี 3 ด่านใหญ่ที่ต้องฝ่า คือ กกต. สว. และศาลรัฐธรรมนูญ ดังนั้นต่อให้ได้ตำแหน่งประธานสภาก็ไม่ได้เป็นโจทย์ง่ายที่คุณพิธาจะเป็นนายกฯ แต่เนื่องจากตำแหน่งประธานสภาเป็นหมุดหมายแรกที่จะนำไปสู่การเลือกนายกรัฐมนตรี ตำแหน่งนี้จึงเป็นที่จับตา

นอกจากนี้ อาจารย์ยังมองว่า ต่อให้ผ่านด่านประธานสภาไปได้ การรวมเสียง สว. ของพรรคก้าวไกลให้เกิน 376 เสียงก็เป็นเรื่องยากและอาจได้เสียงสนับสนุนเพียง 19-20 เสียงเท่านั้น และอีกสิ่งที่ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลยก็คือ การตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่ขณะนี้หลายคนมองผ่าน เพราะถ้าเกิดขึ้นอาจจะเป็นการโหวตแบบหนังม้วนเดียวจบ ที่บอกว่าโหวตพิธาไม่ได้ก็โหวตไปเรื่อย ๆ เป็นการประเมินแบบไม่ได้มองอีกขั้วการเมืองหนึ่งที่ใช้เสียง 250 สว. บวกเสียงขั้วเดิมจะกลายเป็นกว่า 430 เสียงซึ่งหมายความว่าเป็นนายกฯ ได้ทันที เพราะเขาอาจจะไม่ได้ต้องการเดินไปไกลมากก็ได้ ขออยู่ไประยะหนึ่งแล้วยุบสภาเลือกตั้งใหม่ก็มีโอกาสเป็นไปได้ อย่างไรก็ตามหากถึงที่สุดแล้วคุณพิธาไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็มีอีกโจทย์รออยู่คือเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดการเมืองนอกสภา

อาจารย์ยุทธพรบอกว่า ถ้าสุดท้ายเสียงที่ประชาชนเลือกไม่ได้รับการตอบสนองหรือเป็นไปตามเจตจำนงค์ก็จะเป็นโจทย์ใหญ่

อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการลงถนนเดิมเราอาจคิดว่าจะจบด้วยการมีรถถังออกมารัฐประหารเหมือนทุกครั้ง แต่ความจริงการรัฐประหารก็มีพัฒนาการให้แยบยลมากขึ้น เพราะฐานในการชุมนุมเดิมไม่ว่าพันธมิตร หรือ กปปส. ที่จบลงด้วยการรัฐประหาร ส่วนใหญ่เป็นคนในเมืองโดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ แต่อย่าลืมว่าการเลือกตั้งครั้งนี้พรรคก้าวไกลชนะในกรุงเทพไปถึง 32 จาก 33 เขต ดังนั้น ฐานสนับในการรัฐประหารเชิงกายภาพจึงอาจมีน้ำหนักไม่มากพอ ครั้งนี้อาจมาในรูปของนิติสงครามหรือเกมการเมือง เช่น การตามสอยของ กกต. ในภายหลัง แม้จะรับรอง สส.ไปก่อนแล้วยังมีเวลาอีก 1 ปี การยื่นเรื่องคุณสมบัติการเป็น สส. ของคุณพิธาต่อศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งอาจจะนำไปสู่การตัดสิทธิการเป็น สส. หรืออาจไปถึงยุบพรรคเนื่องจากมีผู้ไปร้องกรณีล้มล้างการปกครองเป็นต้น ที่น่าสนใจก็คือในบรรยากาศที่ก้าวไกลต้องรับมือเรื่องเหล่านี้ เราจะเห็นการขยับก้าวของเพื่อไทยด้วย

การสลับขึ้นมาของพรรคเพื่อไทยมีความเป็นได้ในสถานการณ์เช่นนี้ โดยเฉพาะการที่พรรคก้าวไกลมีแคนดิเดตคนเดียว และถูกตัดสิทธิทางการเมืองไปหรือในลักษณะของการข้ามขั้วโดยจับกับพรรคร่วมรัฐบาลเดิมรวมถึง พรรคพลังประชารัฐภายใต้เงื่อนไขว่าต้องไม่มีชื่อ พลเอก ประวิตร พลเอก ประยุทธ์ อยู่ในนั้นเพราะจะทำให้หมดความชอบธรรมไป

ดูเพิ่มเติมแสดงน้อยลง Bookmark