ข่าวในหมวด ข่าว 7 สี

ตา-ยาย ถูกลูกสาววางยา โอนที่ดินมูลค่ากว่า 500 ล้านบาท

สนามข่าว 7 สี - เรื่องเงินไม่เข้าใครออกใครจริง ๆ สามารถล้างได้แม้กระทั่งสายเลือด ล่าสุดเกิดศึกแย่งสมบัติ ตายายอ้างถูกลูกสาวคนเล็ก หลอกโอนที่ดิน 100 ไร่ ที่ปากช่อง ซ้ำยังถอนเงินสดนับ 10 ล้านบาท เกลี้ยงบัญชี

โดยลูกสาวคนโต บอกว่า ลูกสาวคนเล็กแอบเอายากล่อมประสาทให้กินเป็นเวลานาน 3 ปี และพบว่าเงินในบัญชีธนาคารกว่า 10 ล้านบาท ถูกโอนเข้าบัญชีลูกสาวคนเล็ก ไม่เหลือสักบาท รวมทั้งที่ดินกว่า 100 ไร่ ที่อำเภอปากช่อง มูลค่ากว่า 500 ล้านบาท ก็ถูกโอนไปเป็นชื่อลูกสาวคนเล็กจนหมด

ที่มาที่ไปของเรื่องนี้ คือเมื่อวาน (19 ต.ค.) คุณตาคุณยาย พร้อมกับลูกสาวคนโตและหลานสาว เดินทางมาจากปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เข้ากรุงเทพฯมาพบกับ ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตอารีรัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำรองนายกรัฐมนตรี เพื่อขอความช่วยเหลือคุ้มครองพยาน

หลานสาวของตายาย เล่าให้ฟังว่า ตากับยายมีลูกสาว 2 คน คนโตซึ่งเป็นแม่ของตนเอง ส่วนลูกสาวคนเล็กของตายายคือ น้าสาว ช่วงแรกก็อยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ที่อำเภอปากช่อง ไม่มีปัญหาอะไรกัน กระทั่งกลางปี 2563 เริ่มมีปัญหาการแบ่งมรดก โดยตายายเข้าใจผิดว่าแม่จะมาเอาสมบัติ ตายายจึงเลือกที่จะอยู่กับลูกสาวคนเล็ก และตัดขาดลูกสาวคนโต พร้อมก่อกำแพงสูงกว่า 2 เมตร ปิดกั้นบ้านทั้งสองฝั่ง ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา แม่ก็ไม่เคยได้พูดคุยหรือติดต่อกับตายายอีกเลย

กระทั่งมีอยู่วันหนึ่ง แม่ได้ยินเสียงคนร้องไห้ จึงตะโกนสอบถามไปว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนจะมองลอดช่องรั้วเข้าไป เห็นมีคนดึงยายกลับเข้าไปในบ้าน จึงได้ตะโกนกลับไปว่า ถ้าหากไม่ปล่อยจะไปแจ้งความ จากนั้นน้าสาวก็ปล่อยยาย พอเดินไปดูพบว่ายายนอนร้องไห้อยู่ข้างกำแพงรั้ว

แม่พายายเข้ามาที่บ้าน พูดคุยจนได้ความว่า ถูกลูกสาวคนเล็กแอบเอายากล่อมประสาทให้กินเป็นเวลานาน 3 ปี และพบว่าเงินในบัญชีธนาคารกว่า 10 ล้านบาท ถูกโอนเข้าบัญชีลูกสาวคนเล็กทั้งหมด รวมทั้งที่ดินกว่า 100 ไร่ ที่อำเภอปากช่อง มูลค่ากว่า 500 ล้านบาท ก็ถูกโอนไปเป็นชื่อลูกสาวคนเล็ก

จากนั้นก็พากันไปแจ้งความกับตำรวจ เอาผิดในข้อหาลักทรัพย์ ล่าสุดพนักงานสอบสวนมีความเห็นควรสั่งฟ้องลูกสาวคนเล็ก และนำตัวไปส่งให้พนักงานอัยการ มีความเห็นทางคดี แต่กลับไม่มีการดำเนินคดีกับสามีด้วย ซึ่งสามีคนนี้ค่อนข้างมีอิทธิพลในพื้นที่ ตนเองและแม่เกรงว่าจะไม่ปลอดภัย และไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะพบว่ามีการนำที่ดินไปจำนองกับผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ด้วย

ขณะที่ ตายายฝากถามลูกสาวคนเล็กว่า เอาที่ดินในอำเภอปากช่องกว่า 100 ไร่ ไปจำนองได้อย่างไร เพราะไม่ได้ให้ นอกจากที่ดินแล้ว ยังมีเงินอีกกว่า 10 ล้านบาท ลูกสาวคนเล็กก็ไปถอนออกมาหมดเลย

จากปากคำของตา-ยาย ได้ย้ำเรื่องระหว่างที่อยู่ในความดูแลของลูกสาวคนเล็ก ได้เอายามาให้กินตลอด ลักษณะเป็นยาเม็ดหลายสี บางวันก็เป็นสีขาว บางวันสีส้ม ต้องกินวันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร บอกเป็นยารักษาโรคประจำตัว พอกินเข้าไปแล้วคุณตาบอกว่า รู้สึกปากแห้ง คอแห้ง ตาค้าง เบลอ ๆ มึน ๆ และบางครั้งก็มีอาการชักเกร็ง จนต้องหนีออกมาขอความช่วยเหลือกับหลานสาว และมารู้ภายหลังว่าเป็นยาประเภทกล่อมประสาท

ทีมข่าวลงพื้นที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา สำรวจบ้านของลูกสาวคนโต ที่คุณตา-คุณยายไปขอความช่วยเหลือ พบเปิดเป็นร้านขายโทรศัพท์มือถือ ส่วนบ้านลูกสาวคนเล็กก็อยู่ติดกัน แล้วก็มีกำแพงแผ่นสังกะสีกั้นไว้ และยังมีป้ายขนาดใหญ่ติดประกาศไว้บริเวณข้างบ้านว่า "ประกาศเตือน ที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่...พร้อมบ้านและสิ่งปลูกสร้าง อยู่ระหว่างฟ้องร้อง เพิกถอนนิติกรรมโมฆะ ถ้ามีการซื้อขายจำหน่ายหรือโอนจะไม่รับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นทุกกรณี" ซึ่งก็เป็นการเตือนผู้ที่จะมาซื้อที่ดินของคุณตา ทุกแปลงจากลูกสาวคนเล็ก ซึ่งถ้าใครขับรถผ่าน ก็จะเห็นป้ายนี้อย่างชัดเจน

คดีแย่งมรดกภายในบ้าน ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น ถ้าคุณผู้ชมยังจำกันได้ กับคดีของนางฮวยเอง หรือ "อาม่าฮวย" ที่ฟ้องลูกสาวกับพนักงานธนาคารดังแห่งหนึ่ง เปลี่ยนแปลงสิทธิ์การเบิกถอนเงินในบัญชีโดยไม่ได้รับอนุญาต ขณะที่นอนป่วยรักษาตัวในโรงพยาบาล สูญเงินในบัญชีไปกว่า 350 ล้านบาท คดีนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2557 ต่อสู้กันมาร่วม 8-9 ปี กระทั่งเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ศาลแพ่งพระโขนง พิพากษาให้ธนาคารชื่อดังแห่งหนึ่ง, รองผู้จัดการสาขา และพนักงานธนาคาร พร้อมด้วย นางมาวดี บุตรคนที่ 2 ของนางฮวยเอง ชดใช้เงิน พร้อมดอกเบี้ยรวมแล้ว 207 ล้านบาท

ซึ่งคดีนี้ นายอนันต์ไชย ชัยเดช ทนายความ หรือทนายกระดูกเหล็ก รับว่าความให้จนสามารถชนะคดีได้ สนามข่าว 7 สี เราสอบถามความเห็นเรื่องคุณตาคุณยายที่ปากช่องมาได้ เรื่องนี้ ทนายอนันต์ไชย บอกว่า คดีนี้คล้ายกัน ดังนั้นต้องพิสูจน์การโอนเงิน กรรมสิทธิ์ที่ดิน ว่าที่มาที่ไปว่าเกิดขึ้นอย่างไร และเชื่อว่าคุณตาคุณยายสามารถที่จะฟ้องเอาทรัพย์กลับคืนมาได้

มีผู้สูงอายุหลายคนที่อาจจะยังไม่รู้ว่าการที่มีทรัพย์สินจำนวนมาก ต้องจัดการยังไงเพื่อให้ปลอดภัย ทีมข่าวสอบถาม นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ แนะนำว่าผู้สูงอายุควรจัดการทรัพย์สินเอาไว้ก่อน ขณะที่ท่านมีสุขภาพแข็งแรง ควรจัดการทรัพย์สิน หรือเขียนพินัยกรรมให้เรียบร้อย เพราะหากเกิดล้มป่วย หรือสุขภาพแย่ลงก่อนที่จะจัดการทรัพย์สิน ก็อาจถูกบุคคลฉวยโอกาสเอาทรัพย์สินได้ และการจัดการเรื่องพินัยกรรม หรือแบ่งทรัพย์สินต้องชัดเจนว่าจะมอบให้ใคร ด้วยเหตุผลอะไร ซึ่งเป็นสิทธิที่ผู้สูงอายุควรจะทำ

อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ บอกอีกว่า สิ่งสำคัญคือ การปลูกฝังลูกหลาน คนในครอบครัว ช่วยดูแลผู้สูงอายุด้วยความรักความเอาใจใส่ ให้นึกถึงตอนที่ท่านดูแลเราสมัยที่ยังเป็นเด็ก ดูแลท่านให้มีความสุขในช่วงชีวิตสุดท้ายให้ดีที่สุด

ดูเพิ่มเติมแสดงน้อยลง Bookmark