ข่าวในหมวด ข่าวออนไลน์ News

ศาลอุทธรณ์ สั่งแก้โทษ เพิ่มคุก 10 ปี 2 เดือน ตำรวจควบบิกไบก์ชนหมอกระต่าย รับสารภาพลดโทษเหลือกึ่งหนึ่


โทษชั้นต้นเบาเกินไป ศาลอุทธรณ์ สั่งแก้โทษ เพิ่มคุก 10 ปี 2 เดือน ตำรวจคฝ.ควบบิกไบก์ชนหมอกระต่าย รับสารภาพเหลือ 5 ปี 1 เดือน ไม่รอลงอาญา ชี้ พฤติการณ์ร้ายแรง เป็นตำรวจทำผิดกฎหมายเอง ไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่สังคม เจ้าตัวยื่น 3 แสนขอปล่อยชั่วคราว แต่ศาลอาญาให้ส่งศาลฎีกาพิจารณา

วันนี้ (16 ม.ค.67) ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีหมายเลขดำ อ. 399/2565 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 3 และ นพ.อนิรุทธ์ สุภวัตรจริยากุล ,นางรัชนี สุภวัตรจริยากุล บิดามารดาหมอกระต่ายเป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง ส.ต.ต.นรวิชญ์ ผบ.หมู่ กองร้อยที่ 2 กองกำกับการ 1 กองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน (กก.1 บก.อคฝ.) เป็นจำเลยในความผิด ฐานขับรถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียว อันอาจเกิดอันตรายต่อบุคคลหรือทรัพย์สิน และกระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย, นำรถที่มิได้ติดแผ่นป้ายทะเบียนมาใช้ในทางเดินรถ, ฝ่าฝืนใช้รถที่ไม่ได้เสียภาษีประจำปี 3. ใช้รถที่ไม่ได้จัดให้มีการประกันความเสียหายสำหรับผู้ประสบภัย, นำรถไม่สมบูรณ์มาขับและไม่ติดกระจกมองข้าง, ขับรถไม่ชิดขอบทางด้านซ้าย, ขับรถจักรยานยนต์เร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด, ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น, ขับรถโดยไม่ปฏิบัติตามเครื่องหมายบนพื้นทาง

กรณีที่เมื่อวันที่ 21 ม.ค. 65 เวลากลางวัน ส.ต.ต.นรวิชญ์ จำเลย ขี่จักรยานยนต์บิกไบก์ ชน พญ.วราลัคน์ สุภวัตรจริยากุล หรือ หมอกระต่าย จักษุแพทย์ รพ.ราชวิถี ขณะกำลังเดินข้ามทางม้าลาย บริเวณหน้า รพ.สถาบันไตภูมิราชนครินทร์ ถนนพญาไท แขวง-เขตราชเทวี กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเขตชุมชุนด้วยความเร็ว 108-128 กม. เกินกว่ากฎหมายกำหนดที่ 80 กม.ต่อชั่วโมง จน พญ.วราลัคน์ ถึงแก่ความตาย โดยขอให้ศาลมีคำสั่งริบรถจักรยานยนต์ที่พนักงานสอบสวนยึดไว้เป็นของกลาง และมีคำขอให้ศาลเพิกถอน หรือพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้ต้องหาด้วย

คดีนี้ศาลชั้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 25 เม.ย.65 ว่า ส.ต.ต.นรวิชญ์ จำเลย กระทำผิดตามฟ้อง คงจำคุกรวม 1 ปี 15 วัน ไม่รอลงอาญา โดยจำเลยได้รับอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์ ต่อมาโจทก์ และโจทก์ร่วม ยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลกำหนดโทษหนักขึ้น จำเลยยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลรอการลงโทษ

โดยวันนี้จำเลยเดินทางมาศาล

ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยฐานขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยและความเดือดร้อนของผู้อื่น จำคุก 1 เดือนลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้วคงจำคุก 15วัน และลงโทษฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุก 2 ปี ลดโทษกึ่งหนึ่งคงจำคุก 1 ปี และไม่ปรับจำเลยในข้อหานี้ โดยไม่รอการกำหนดหรือไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยนั้น เหมาะสมหรือได้สัดส่วนหรือสอดคล้องกับความร้ายแรงและพฤติการณ์การกระทำความผิดของจำเลย และอัตราโทษที่กำหนดโดยกฎหมายหรือไม่

เห็นว่า พฤติการณ์การกระทำความผิดของจำเลยเป็นเรื่องร้ายแรง เนื่องจากขณะกระทำความผิด จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของประชาชนและบังคับใช้กฎหมาย ควรต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด แต่จำเลยไม่เคารพยำเกรงกฎหมายและกระทำผิดต่อกฎหมายเสียเอง โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิตของประชาชน และมีพฤติกรรมในทางฝ่าฝืนกฎหมาย โดยจำเลยขับรถจักรยานยนต์ที่ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ซึ่งเมื่อจำเลยกระทำความผิดและจำเลยหลบหนีไปได้ ก็ทำให้การติดตามหาตัวคนกระทำความผิดเป็นไปได้ยากมากขึ้น จำเลยขับรถจักรยานยนต์โดยไม่เสียภาษีประจำปี ซึ่งหากเป็นประชาชนทั่วไปกระทำความผิดนี้ จะต้องถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมและปรับโดยไม่มีละเว้น จำเลยไม่ได้จัดให้มีการทำประกันภัยความเสียหายสำหรับผู้ประสบภัยจากรถ ซึ่งกฎหมายบังคับให้ต้องทำ เพื่อคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถให้ได้รับการช่วยเหลือและรักษาพยาบาลในเบื้องต้นได้ทันท่วงที

เมื่อเกิดเหตุขึ้น ผู้ตายและโจทก์ร่วมทั้งสองจึงไม่ได้รับการเยียวยาหรือไม่ได้รับค่าสินไหมทดแทนในเบื้องต้นจากบริษัทผู้รับประกันภัย จำเลยขับรถโดยไม่มีกระจกมองข้าง และขับรถด้วยความเร็วสูงมากถึง 108-128 กม. ต่อชั่วโมงในเขตเมืองบริเวณหน้าโรงพยาบาล ซึ่งเกินกว่าอัตราความเร็วที่กำหนดในกฎกระทรวง อีกทั้งปรากฏทางม้าลายสำหรับคนเดินข้ามบริเวณหน้าโรงพยาบาลดังกล่าว จำเลยควรต้องลดความเร็วของรถให้ช้าลง เพื่อระมัดระวังไม่ให้รถชนคนเดินข้ามถนน แต่จำเลยกลับขับรถจักรยานยนต์เร่งความเร็วแซงรถอื่นด้วยความเร็วสูง ทำให้รถชนผู้ตายตรงทางม้าลายจนร่างกระเด็นลอยสูงและตกลงพื้นห่างไกลจากจุดชนมาก ผู้ตายกะโหลกศีรษะแตก กระดูกสันหลังหัก กระดูกซี่โครงหักหลายชื่ ปอดฉีก เนื่องจากถูกรถจักรยานยนต์ที่จำเลยขับพุ่งชนอย่างรุนแรง ลอยไปไกลตกกระแทกกับพื้นถนน

จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจสมควรปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดยิ่งกว่าประชาชนทั่วไป เพื่อให้เป็นเยี่ยงอย่างอันดีงาม แต่จำเลยกระทำผิดต่อกฎหมายมากมายหลายประการ จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งมีหน้าที่และความรับผิดชอบในเบื้องต้นต้องคำนึงถึงความมั่นคงและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเป็นที่ตั้ง แต่พฤติการณ์ของจำเลยแสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่า จำเลยหาได้คำนึงถึงหน้าที่และความรับผิดชอบดังกล่าวแต่อย่างใดไม่

ทั้งพฤติการณ์ที่จำเลยกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายประการ แสดงให้เห็นว่าจำเลยเข้าใจว่าการเป็นเจ้าพนักงานตำรวจไม่จำต้องกระทำให้ถูกต้องตามกฎหมายก็ได้ หน้าที่กระทำตามกฎหมายเป็นหน้าที่ของประชาชนธรรมดาทั่วไป การกระทำของจำเลยยังทำให้ประชาชนทั่วไปหลงผิดเข้าใจว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติมิได้ใส่ใจอบรมบุคคลากรของตนให้คำนึงถึงหน้าที่และความรับผิดชอบในการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยยึดถือความมั่นคงและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเป็นที่ตั้งเท่าที่ควรดังนี้

จึงเห็นว่าโทษที่ศาลชั้นต้นลงแก่จำเลยมานั้นเบาเกินไป ไม่เหมาะสมและไม่ได้สัดส่วนกับความร้ายแรงของการกระทำความผิดของจำเลยและอัตราโทษที่กำหนดโดยกฎหมาย มิฉะนั้นคงไม่มีพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดในฐานนี้ที่ร้ายแรงยิ่งกว่านี้ที่จะลงโทษหนักกว่านี้ได้ สมควรลงโทษจำเลยหนักกว่าที่ศาลชั้นต้นกำหนด โดยไม่รอการกำหนดโทษและรอการลงโทษจำคุกแก่จำเลย เพื่อไม่เป็นเยี่ยงอย่างทำให้สังคมมีความสงบและมั่นใจในความปลอดภัยในการข้ามถนนบริเวณทางม้าลาย สำหรับความผิดฐานขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยและความเดือดร้อนของผู้อื่น เห็นควรให้วางโทษจำคุก 2 เดือน สำหรับความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 มีระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท เห็นควรวางโทษจำคุกจำเลย 10 ปี และเมื่อกำหนดโทษจำคุกจำเลยใหม่ โดยไม่รอการลงโทษจำคุกซึ่งนับว่าเหมาะสมแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งการกระทำผิดของจำเลยแล้ว จึงไม่กำหนดโทษปรับในความผิดดังกล่าวอีก

ภายหลังเกิดเหตุจำเลยมิได้หลบหนีและให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาของศาลตลอดมา ไม่ว่าจะเป็นเพราะมีพยานหลักฐานหนักแน่นหรืออาจเพราะจำนนต่อพยานหลักฐาน ดังที่โจทก์ร่วมทั้งสองยกขึ้นอุทธรณ์ ก็ยังคงเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาของศาล ที่ศาลชั้นต้นลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองฟังขึ้นบางส่วน อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น

พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับความผิดฐานขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยและความเดือดร้อนของผู้อื่นจำคุก 2 เดือน ความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายจำคุก 10 ปี ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง ฐานขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยและความเดือดร้อนของผู้อื่น คงจำคุก 1 เดือน ฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย คงจำคุก 5 ปี เมื่อรวมกับโทษปรับในความผิดฐานอื่นตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว คงจำคุก 5 ปี 1 เดือน และปรับ 4 พันบาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

ภายหลังฟังคำพิพากษา จำเลยยื่นหลักทรัพย์ 3 แสนขอปล่อยชั่วคราวระหว่างฎีกา ศาลอาญาพิจารณาคำร้องแล้วเห็นควรส่งศาลฎีกาพิจารณาประกัน หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์คุมตัวจำเลยไปควบคุมที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ระหว่างรอคำสั่งจากศาลฎีกา

ดูเพิ่มเติมแสดงน้อยลง Bookmark