ข่าวในหมวด ข่าวออนไลน์ News

หนุ่มสุดช้ำร่ำไห้ ถูกแฟนสาวขโมยทองหนัก 57 บาท ขายเกลี้ยง โอนเงินให้ญาติ


วันนี้ (27 พ.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอนุพงศ์ สังขศิริ อายุ 33 ปี ผู้เสียหายถูกแฟนสาวขโมยทองคำน้ำหนัก 57 บาท ของครอบครัวไป และเพียงไม่กี่วันตำรวจสามารถจับผู้ต้องหาได้ แต่ไม่พบของกลาง โดยพบว่ามีการโอนเงินออกไปให้ญาติพี่น้อง ซึ่งตอนนี้ไม่รู้คดีไปถึงไหนแล้ว พอถามตำรวจก็ได้คำตอบว่า ถามผู้ต้องหาไม่พูด ตำรวจก็ทำอะไรไม่ได้ ให้ไปถามที่ศาลเอง จนตอนนี้เครียดมาก ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร จึงร้องผ่านสื่อมวลชนเพื่อขอความเป็นธรรม

นายอนุพงศ์  บอกว่า ตนเป็นพนักงานบริษัทเอกชน และครอบครัวทำธุรกิจขนส่ง พอตนมีรายได้ก็จะซื้อทองคำมาเก็บไว้ โดยซื้อเก็บไว้น้ำหนัก 57 บาท และเก็บทองคำไว้ที่บ้านในตู้ลิ้นชักภายในห้องนอนเป็นทองคำรูปพรรณหนัก 27 บาท ส่วนอีก 30 บาท เป็นทองคำแท่ง ตนฝากไว้ที่ร้านทองชื่อดังแห่งหนึ่งย่านเยาวราช ที่มีมาตรฐานการป้องกันสูง

กระทั่งเมื่อ 3 เดือนที่ผ่านมา ตนเองพาแฟนสาวที่คบกันมา 6 ปี เข้ามาอยู่ในบ้านด้วย ที่ผ่านมาแฟนตนเป็นคนเรียบร้อย ขยันทำงานบ้าน ทางครอบครัวตนเองจึงรักและไว้ใจ ไม่ได้ระแวงอะไร ต่อมาวันที่ 2 พ.ค. 67 ตนมีความจำเป็นต้องใช้เงิน จึงนำทองคำที่เก็บไว้ในตู้ น้ำหนัก 27 บาท ออกไปจำนำ แต่พอถึงโรงจำนำ ทางโรงจำนำแจ้งว่าทองทั้งหมดเป็นของปลอม ตนจึงสงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไร จากนั้นจึงกลับมาที่บ้าน แล้วนำเรื่องนี้ไปพูดคุยกับคนในครอบครัว ว่าสงสัยใครในบ้าน แต่คนในบ้านก็ไม่มีพิรุธใด ๆ

อย่างไรก็ตาม ตนคิดได้ว่าเมื่อวันที่ 25 เม.ย. 67 ที่ผ่านมา แฟนสาวตนเคยให้คนโอนเงินเข้าบัญชีตน 1,200,000 บาท โดยอ้างว่าเป็นเงินของพี่สาว พี่สาวเลิกกับสามีแล้วแบ่งมรดกกัน และพี่สาวเอารถแบ็กโฮที่ได้มาจากการแบ่งมรดกไปขาย พี่สาวไม่อยากเอาเงินเข้าบัญชี เพราะกลัวสามีรู้ ตนก็หลงเชื่อโอนเงินให้ไป พอตนโอนเงินให้ไปแล้วก็มาดูสลิปคนที่โอนเงินเข้า ปรากฏว่าเป็นบัญชีของร้านทอง จากนั้นจึงถามแฟนไปว่าทำไมเป็นชื่อร้านทองโอนเข้ามา แฟนตอบว่าพี่สาวขายรถแล้วนำเงินไปซื้อทองก่อน จึงให้ร้านทองโอนเข้ามา

นายอนุพงศ์ บอกอีกว่า พอนึกขึ้นเริ่มสงสัยแฟนสาวทันที ต่อมาช่วงตอนกลางคืนตนเองจึงแอบเอาโทรศัพท์ของแฟนสาวมาดู ปรากฏว่าพบข้อความในแอปพลิเคชันเฟซบุ๊ก เป็นข้อความถามเพจร้านขายทองปลอมต่าง ๆ ว่า  มีทองลายนี้ไหม พร้อมส่งรูปของตนให้ดู ซึ่งติดต่อไปหลายร้านมาก และมีการนัดหมายเข้าไปดูทองกัน ตนจึงถามแฟนอีกครั้งว่า ได้เอาทองตนไปไหม แต่แฟนก็ยืนยันว่าไม่ได้เอาไป พร้อมยอมพิสูจน์ตนเองไปที่โรงพัก ตนกับแม่จึงเดินทางไปแจ้งความที่ สน. ประชาชื่น โดยตำรวจให้ลงบันทึกประจำวันไว้ก่อน และถ้ามีคนน่าสงสัยให้มาแจ้งอีกครั้ง แต่ตอนนั้นไม่รู้ว่าใบฝากทองแท่งหนัก 30 บาท ของโรงรับจำนำ ถูกนำไปขายแล้ว

ต่อมาเช้าวันที่ 3 พ.ค. 67 ตนจึงเดินทางไปที่ร้านทองชื่อดังแห่งหนึ่งย่านเยาวราช ที่ฝากทองคำแท่งไว้ ซึ่งทางร้านแจ้งว่า เมื่อวันที่ 24 เม.ย. 67 ได้มีผู้หญิงที่เคยมาซื้อทองกับตนมาทำธุรการการขายทองหนัก 30 บาทที่ฝากไว้ แต่ทางเจ้าหน้าที่ให้กลับไปทำเอกสารมาใหม่ เพราะเอกสารไม่ครบ จากนั้นวันที่ 25 เม.ย. 67 ผู้หญิงคนเดิมได้นำบัตรประชาชนตัวจริงของตน พร้อมสำเนาใบฝากทอง มีการปลอมลายเซ็นโดยเขียนทับด้วยปากกาสีน้ำเงิน และหนังสือมอบอำนาจ โดยอ้างว่าตนเกิดอุบัติเหตุนอนอยู่โรงพยาบาล ไม่สามารถมาขายทองด้วยตนเองได้ ทางโรงจำนำจึงจ่ายเช็คเงินสดเข้าบัญชีตนไป 

นายอนุพงศ์ บอกต่อว่า พอตนรู้อย่างนี้ถึงกับร้องไห้ทันที จนแปลกใจว่าตอนมาซื้อของที่นี่ และทำใบฝากท้องไว้ ทางร้านทองระบุมาตรการความปลอดภัยไว้อย่างชัดเจนว่า ไม่มีใครสามารถมานำทองหรือขายทองที่ฝากไว้ได้ นอกจากเจ้าของเท่านั้น แต่ถ้าเจ้าของตายจะต้องนำใบมรณบัตรมาแสดง ถึงจะได้ทองออกไป แต่ร้านทองกลับให้เงินกับคนอื่นไปง่ายมาก จากนั้นช่วงกลางคืนตนจึงเข้าไปแจ้งความเพิ่ม และสอบปากคำเอาผิดกับแฟนตนเองทันที พอตนเดินทางกลับมาที่บ้านก็ไม่พบว่าแฟนอยู่ที่บ้านแล้ว มีการขนของออกไปจนหมด จึงโทรศัพท์ไปถาม ได้คำตอบว่าไม่อยากอยู่บ้านหลังนี้แล้ว ตนจึงบอกไปว่า วันที่ 16 พ.ค. 67 ให้ไปพบกันที่ สน.ประชาชื่น เพื่อเป็นการยืนยันความบริสุทธิ์ พอถึงวันนัดหมายแฟนสาวได้เดินทางมาตามนัด และตำรวจได้สอบปากคำ โดยทางแฟนสาวได้ปฏิเสธว่าไม่ได้นำทองไป แต่ตำรวจได้มีหลักฐานเป็นกล้องวงจรปิดชัดเจนแล้ว จึงควบคุมตัวแฟนสาวไปฝากขังที่ศาลอาญารัชดา 

“สิ่งที่อยากรู้ตอนนี้คือ ผู้ต้องหานำทองไปขายที่ร้านไหน เพราะมีเข็มขัดนาคอายุ 100 กว่าปี ที่ได้มาจากบรรพบุรุษ ก็ถูกขโมยไปขายด้วย เข็มขัดเส้นนี้มีมูลค่าทางจิตใจกับครอบครัวมาก อยากจะไปซื้อคืน และอยากรู้อีกอย่างหนึ่งคือว่า ร้านทองมีส่วนผิดไหม ที่ให้ของคนที่ไม่ใช่เจ้าของไปง่ายดายแบบนี้ และตำรวจจะมีการตรวจสอบเส้นทางการเงินของผู้ต้องหาหรือไม่ ว่าได้เงินไปแล้วโอนเงินให้ใครบ้าง คนที่ได้รับโอนเงินมีส่วนผิดไหม” นายอนุพงศ์

ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวได้สอบถามคดีดังกล่าวกับพนักงานสอบสวน สน. ประชาชื่น โดยได้รับคำตอบว่า ตอนนี้กำลังตรวจสอบเส้นทางการเงิน ว่าถูกโอนไปให้ใครบ้าง ที่ทำคดีล่าช้าเพราะต้องรอเอกสารจากธนาคารส่งมา หากพบว่าผู้ใดมีส่วนเกี่ยวข้อง จะดำเนินคดีทุกคน ส่วนเรื่องว่านำทองไปเก็บไว้ไหน ทางผู้ต้องหาไม่ยอมปริปากพูด อ้างว่าจำไม่ได้อย่างเดียว แต่ยอมรับสารภาพว่าได้นำทองคำแท่งหนัก 30 บาท ไปขายจริง แต่อ้างว่าแม่ของแฟนเป็นคนสั่งให้เอาไปขาย ซึ่งทางตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อคำให้การของผู้ต้องหาแต่อย่างใด หลังจากนี้จะเรียกผู้เสียหายเข้ามาสอบปากคำเพิ่ม

ดูเพิ่มเติมแสดงน้อยลง Bookmark