ข่าวในหมวด ข่าว 7 สี

ลุงพล-ป้าแต๋น เข้าเครื่องจับเท็จ วันนี้ คดีน้องชมพู่ คาดเร็วๆนี้ คืบหน้ารู้ตัวคนร้าย

คดี "น้องชมพู่" ที่ยืดเยื้อมาร่วม 7 เดือน นับตั้งแต่วันที่ "น้องชมพู่" หายออกจากบ้านวันที่ 11 พฤษภาคม กระทั่งพบว่าเสียชีวิต จนขณะนี้ก็ยังไม่ระบุชัดว่า ใครคือคนร้ายตัวจริง ล่าสุด มีรายงานว่าตำรวจจะเชิญตัว "ลุงพล" และ "ป้าแต๋น" มาเข้าเครื่องจับเท็จ วันนี้

มีรายงานข่าวว่า ในช่วง 09.00 น. วันนี้ ตำรวจจะเชิญตัว นายไชย์พล วิภา หรือ "ลุงพล" และ นางสมพร หลาบโพธิ์ หรือ "ป้าแต๋น" มาที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานี เพื่อเข้าสู่กระบวนการทางนิติวิทยาศาสตร์ โดยทั้ง 2 คน จะต้องถูกผู้เชี่ยวชาญซักถาม ก่อนเข้าสู่กระบวนการใช้เครื่องจับเท็จ คาดว่าจะใช้เวลาคนละประมาณ 3 ชั่วโมง 

โดยก่อนหน้านี้ ในช่วงวันที่ 5-7 มกราคมที่ผ่านมา ตำรวจ สภ.กกตูม ได้พาครอบครัวของน้องชมพู่ รวม 7 คน ได้แก่ พ่อ แม่ และพี่สาวของน้องชมพู่ หรือ "น้องสะดิ้ง" รวมไปถึง นางจุไรภรณ์ หรือ น้าต่าย และ นายเสริม น้าเขย, นายนรินทร์ หรือ น้าแต และ นางสาวสายฝน มาเข้าสู่กระบวนการซักถาม และเข้าเครื่องจับเท็จด้วยแล้วเช่นกัน

ถ้ายังจำกันได้ คดีนี้ พลตำรวจเอก สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนปัจจุบัน เป็นผู้ควบคุมการสืบสวนคดีนี้ ตั้งแต่ดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จนเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2563 ได้ออกมาแถลงสรุปข้อมูลจากการสอบสวน และรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมด ยืนยันได้ว่า น้องชมพู่ ไม่สามารถเดินขึ้นไปบนจุดพบศพบนภูเหล็กไฟได้ด้วยตนเอง จึงเชื่อว่ามีผู้ใดผู้หนึ่งพาน้องชมพู่ไป และกระทำการด้วยวิธีการใด ๆ ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม แล้วทำให้เกิดการเสียชีวิต

ด้วยเหตุผล 8 ข้อ ก็คือ 1.เส้นทางยากลำบากเกินความสามารถของน้องชมพู่ที่จะเดินขึ้นไปเองได้ เพราะเนินดังกล่าวมีความชันมากกว่า 60 องศา ขณะที่ น้องชมพู่ อายุเพิ่งจะ 3 ขวบ เดินขึ้นลงบันไดที่มีความชัน 45 องศา ที่บ้านยังไม่ได้ 2.นักโภชนาการ และผู้เชี่ยวชาญ มีความเห็นว่าอาหารที่น้องชมพู่รับประทานมื้อสุดท้าย ที่มีข้าวไข่เจียวเพียงแค่ 3 คำ และน้ำส้มอีก 1 ขวด มีพลังงานไม่เพียงพอที่จะทำให้น้องเดินขึ้นไปจนถึงจุดที่พบศพได้ 3.ประสบการณ์ของชาวบ้านในพื้นที่ ยืนยันว่า เด็ก 3 ขวบ ถ้าจะปีนป่ายขึ้นภูเหล็กไฟด้วยตัวเอง จะขึ้นไปได้เพียงแค่ชั้นที่ 2 เท่านั้น

4.กรณีที่มีชาวบ้านกกตูมหลงป่า ระยะทางไกลกว่าน้องชมพู่ แต่ชาวบ้านตามหาเจอได้ภายในคืนเดียว 5.แพทย์ผู้ชันสูตร และกุมารแพทย์ ยืนยันว่า พัฒนาการของเด็กอายุ 3 ขวบ ไม่สามารถเดินขึ้นไปเองได้ และกุมารแพทย์ก็ยังชี้ว่า พัฒนาการเด็กวัยนี้หากหลงทางห่างจากบ้านไป 200 เมตร จะยังเห็นบ้านตัวเองและกลับมาได้ 6.สภาพศพที่เปลือยกาย พ่อแม่ยืนยันว่า น้องชมพู่ไม่สามารถถอดเสื้อเองได้ 7.หลักฐานในที่เกิดเหตุ พบเส้นผมน้องชมพู่ 36 เส้น ถูกตัดหรือเฉือนด้วยมีด เชื่อได้ว่าเป็นการกระทำของบุคคลอื่น เนื่องจากน้องชมพู่ไม่สามารถตัดผมตัวเองได้ และข้อสุดท้าย พ่อแม่ คนในครอบครัว ยืนยัน นิสัยส่วนตัวของน้องชมพู่ กลัวที่สูง กลัวที่มืด กลัวป่า กลัวสุนัข กลัวสวนยาง ที่ผ่านมาน้องชมพู่ไม่เคยไปในป่าหลังบ้านเลยสักครั้ง และพ่อแม่ก็ไม่เคยพาไป

คดีนี้ ตำรวจบอกว่า ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนที่จะระบุตัว หรือชี้ชัดตัวผู้กระทำผิดได้ แต่ก็ถือเป็นคดีอุกฉกรรจ์ที่อยู่ในความสนใจของคนทั้งประเทศ โดยมีระยะเวลาการสอบสวน 1 ปี นับแต่วันร้องทุกข์กล่าวโทษ หากพ้นช่วงเวลานี้ไปแล้ว ก็จะมีการพิจารณางดการสอบสวน แต่ว่าหน้าที่ตำรวจยังไม่หมด ในส่วนของการสืบสวนจะดำเนินการต่อไปภายในระยะเวลาอายุความตามกฎหมาย 20 ปี ซึ่งหากมีพยานหลักฐานใหม่ ก็เริ่มขั้นตอนการสืบสวนต่อได้ ย้อนไปฟังเสียงท่านผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกัน

โดยคดีนี้ ก็มาถึงขั้นตอนกระบวนการสัมภาษณ์จากผู้เชี่ยวชาญ และเข้าเครื่องจับเท็จแล้ว คาดว่าเร็ว ๆ นี้ ก็น่าจะมีความคืบหน้าของคดีเพิ่มเติม จนกระทั่งอาจถึงขั้นทราบตัวคนร้ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของ น้องชมพู่ ก็เป็นได้ โดยคนร้ายในคดีนี้จะถูกตั้งข้อหาพรากเด็กฯ กักขังหน่วงเหนี่ยวเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต และข้อหาซ่อนเร้นอำพรางศพ

ดูเพิ่มเติมแสดงน้อยลง Bookmark