เตือน! ยาระบาย ยาถ่าย ใช้บ่อย เสี่ยงสมองเสื่อม เน้นผลไม้ ลดท้องผูก

คลิปที่เกี่ยวข้อง

เตือน! ยาระบาย ยาถ่าย ใช้บ่อย เสี่ยงสมองเสื่อม เน้นผลไม้ ลดท้องผูก


ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ศาสตราจารย์สาขาประสาทวิทยา  คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาประกาศเตือน ยาถ่าย ยาระบาย อย่าใช้บ่อย เสี่ยงสมองเสื่อม

ผู้ที่ใช้ยาระบายประเภทที่เรียกว่า osmotic laxatives เป็นประจำ มีความเสี่ยงสมองเสื่อมเพิ่มขึ้น เมื่อ เทียบกับคนที่ไม่ใช้ถึง 64%
และคนที่ ใช้ยาระบายหนึ่งประเภทหรือมากกว่า ที่เป็นทั้ง แบบ  bulk-forming แบบ stool softening และ stimulant laxatives มีความเสี่ยงสูงขึ้นถึง 90%
ยาระบายมีหลายประเภทด้วยกันได้แก่
ยาระบายชนิดที่ดึงน้ำเข้ามาในลำไส้และทำให้อุจจาระเหลวนุ่มขึ้น และถ่ายง่ายขึ้น (oxidative laxatives) อาทิ lactulose polyethylene glycol  sorbitol magnesium citrate  sodium acid phosphate

ยาระบายชนิดที่ ออกฤทธิ์โดยการเพิ่มปริมาณขนาดอุจจาระ
(Bulk forming laxatives) เช่นยา mucillin metamucil
ยาระบายชนิดที่ทำให้อุจจาระอ่อนนุ่มขึ้น (stool softening หรือ emollient) ช่วยให้น้ำและของเหลวผสมเข้ากับอุจจาระไม่ให้แข็ง เช่น ยา colace docusate sodium arachis oil
ยาระบายชนิดที่ออกฤทธิ์กระตุ้นลำไส้ (stimulant laxatives) เช่น bisacodyl ยา dulcolax senna ยา  senokot sodium picosulfate  กระตุ้นเส้นประสาทที่ควบคุมกล้ามเนื้อเพิ่มการบีบตัวของลำไส้
ลักษณะการที่มีท้องผูก ในระดับต่างๆ เป็นปรากฏการณ์ ที่พบได้บ่อยและสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีอายุมากขึ้น และเป็นไปได้ที่การใช้ยาระบายประเภทต่างๆจะทำให้มีการปรับเปลี่ยนจุลินทรีย์หรือแบคทีเรียในลำไส้ โดยผ่านกลไกที่ส่งผ่านจากเส้นประสาทของลำไส้ขึ้นไปที่สมอง และ จากการที่เสริมให้มีการสร้างสารพิษ (toxins) ที่ก่อให้เกิดการอักเสบ ผนังลำไส้รั่วและลุกลามไปทั่วร่างกายและกระทบการทำงานของสมอง

ประชากรที่อยู่ในกลุ่มศึกษาที่รายงานนี้ มีจำนวน 502,229 คนโดยที่ 54% เป็นสตรีและทั้งหมดมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 57 ปี ตอนที่เริ่มการศึกษา โดยทั้งหมดไม่มีอาการของสมองเสื่อมเลยตั้งแต่ต้น
คนที่อยู่ในการศึกษา มี 18,335 คน คิดเป็นจำนวน 3.6% ที่มีการใช้ยาระบายที่หาซื้อได้ทั่วไป (OTC over the counter) โดยมีการใช้สม่ำเสมอหลายวันในสัปดาห์ ในช่วงหนึ่งเดือนก่อนหน้าที่จะเริ่มการศึกษา
ระยะการติดตามทั้งหมดโดยเฉลี่ยแล้ว คือ 9.8 ปีโดยที่พบว่ามี 218 ราย หรือ 1.3% ที่ใช้ยาระบายอย่างสม่ำเสมอเป็นสมองเสื่อมในขณะที่คู่เทียบ จำนวน 1,969 รายหรือ 0.4% ที่ไม่ได้ใช้ยาระบายเลย เป็นสมองเสื่อม
เมื่อทำการปรับค่าหรือปัจจัยต่างๆ ที่รวมทั้งอายุ เพศระดับการศึกษา ภาวะการเจ็บป่วย และยาอื่นๆที่ใช้รวมกระทั่งถึง ประวัติครอบครัวที่มีสมองเสื่อมหรือไม่

พบว่า การใช้ยาระบายอย่างสม่ำเสมอ เพิ่มความเสี่ยงของสมองเสื่อมทุกชนิด (all cause dementia) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (adjusted hazard ratio [aHR], 1.51; 95% CI 1.30 – 1.75) และความเสี่ยงของสมองเสื่อมที่เกิดจากเส้นเลือดฝอยตันทั่วไปหรือ  vascular dementia (aHR, 1.65; 95% CI, 1.21 – 2.27) โดยที่ไม่พบว่าเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดสมองเสื่อมแบบ อัลไซเมอร์
(aHR, 1.05; 95% CI, 0.79 – 1.40)

ความเสี่ยงของสมองเสื่อมยังขึ้นอยู่กับประเภทหรือชนิดของยาระบาย
สำหรับ ผู้ที่ใช้ชนิด oxidative laxatives อย่างเดียว ก็มีความเสี่ยงของสมองเสื่อมทุกชนิด โดยมีนัยสำคัญทางสถิติ (aHR, 1.64; 95% CI, 1.20 – 2.24) และ ความเสี่ยงของสมองเสื่อมที่เกิดจากเส้นเลือดตัน  (aHR, 1.97; 95% CI 1.04 – 3.75)
อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถที่จะวิเคราะห์ขนาดของยาระบายที่ใช้ในประชากรที่อยู่ในการศึกษานี้ ว่า จะมีผลทำให้เกิดสมองเสื่อมอย่างไรหรือไม่

ข้อมูลดังกล่าว เป็นข้อมูลที่น่าตกใจ และสนับสนุนการเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน ระหว่างสุขภาพของลำไส้ที่เกี่ยวเนื่องกับจุลินทรีย์ และแบคทีเรียตัวดีและตัวร้ายที่กำหนด ระบบภูมิคุ้มกันต่อเนื่องไปยังเส้นประสาทและไปกระทบสมอง
แต่ในขณะเดียวกัน ยังไม่สามารถที่จะสรุปหรือพิสูจน์ได้ อย่างเป็นเหตุเป็นผล ของการใช้ยาระบายกับการเกิดสมองเสื่อมชนิดต่างๆ ที่กล่าวมา แต่ควรต้องมีการศึกษาในขั้นลึกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นในระดับของสัตว์ทดลองและในมนุษย์
เป็นที่น่าสังเกตว่าการใช้ยาระบายชนิดและประเภทต่างๆนี้ กลับไม่พบว่ามีความเสี่ยงเพิ่มของสมองเสื่อม อัลไซเมอร์ โดยที่อาจจะเป็นข้อจำกัดของข้อมูลหรือข้อจำกัดของการระบุชนิดของสมองเสื่อมหรืออาจจะเป็นความจริงที่ไม่เกี่ยวโยงกัน

กล่าวโดยสรุปแล้ว เรื่องท้องผูกหรือ “ธาตุแข็ง” ที่คนโบราณพูด โดยย้ำกับลูกหลานว่า ถ้าไม่ถ่ายจะมีพิษสะสมลามเข้าไปทั่วตัวน่าจะเป็นเรื่องจริง
และวิธีที่ง่ายที่สุดคือ การกินผัก ผลไม้ กากใย ให้มาก เป็นประจำสม่ำเสมอวันละหลายมื้อก็ได้ ซึ่งผักผลไม้กากใยปฏิบัติตัวเป็นยาระบายที่วิเศษ แต่มีข้อแม้ว่าต้องดื่มน้ำเยอะด้วยจึงจะได้ผล และแน่นอนว่าต้องปลอดสารเคมีให้ได้มากที่สุด

การที่มีท้องผูกนี้ เป็นที่สังเกตมา ตั้งแต่สมัย หลาย 100 ปีแล้วที่ คุณหมอ เจมส์พาร์กินสัน ได้สังเกตว่าคนไข้ที่ต่อมาเกิดโรคพาร์กินสันนั้น มีท้องผูกนำมาก่อน และในคนที่เกิดเป็นโรคแล้ว เมื่ออาการท้องผูกดีขึ้นโรคหรืออาการพาร์กินสันส์นั้น ก็ดีขึ้นด้วย
ทั้งหมดตอกย้ำถึง การดูแลร่างกาย อาหาร การกิน การออกกำลัง ซึ่งถ้าทำได้ จะส่งผลดี จากหัวจรดเท้า

BUGABOONEWS
ขอบคุณข้อมูลจาก ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha


ดูเพิ่มเติมแสดงน้อยลง Bookmark